จดหมายถึงมวลคริสตชน |
พันธสัญญาใหม่ยังมีจดหมายอีกเจ็ดฉบับที่ไม่ใช่ของเปาโล นำมารวมไว้ด้วยกันทั้ง
ๆ ที่จดหมายเหล่านี้ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย จดหมายสามฉบับในเจ็ดฉบับนี้ได้ชื่อว่าเป็นจดหมายของยอห์น
สองฉบับเป็นของเปโตร ส่วนที่เหลือเป็นของยากอบและยูดาคนละฉบับ แต่การพูดว่าจดหมายเหล่านี้เป็นของคนนี้คนนั้น
จะต้องนำมาประเมินเป็นกรณีไปโดยคำนึงถึงประเพณีนิยมทางวรรณกรรมของสมัยนั้น ซึ่งมักอ้างว่าข้อเขียนฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นผลงานของบุคคลสำคัญในอดีตซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่เกี่ยวข้องเลย
หรืออย่างน้อย ไม่ได้เป็นผู้เขียนโดยตรง จดหมายเหล่านี้เรียกรวมกันว่า จดหมายสากล
หรือ คาทอลิก ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่สอง เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมจึงเรียกเช่นนั้น
น่าจะนับว่าจดหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นจดหมายถึงพระศาสนจักรเป็น ส่วนรวม ไม่ได้เขียนถึงกลุ่มคริสตชนกลุ่มใดหรือบุคคลใดโดยเฉพาะ
จดหมายของยากอบ จดหมายของยูดา
จดหมายของเปโตร ฉบับที่ 1 จดหมายของเปโตร ฉบับที่ 2
จดหมายสามฉบับของยอห์น
1. จดหมายของยากอบ
--------------------------------------------------------------------------------
จดหมายของยากอบได้รับการยอมรับทีละเล็กทีละน้อยเท่านั้นในพระศาสนจักร ในประเทศอียิปต์จดหมายนี้เป็นที่ยอมรับในสารบบพระคัมภีร์
โดยไม่มีปัญหา โอริเจนอ้างข้อความจากจดหมายนี้ว่าเป็นข้อความจากพระคัมภีร์ แต่ยูเซบีอัสแห่ง
ซีซารียาในต้นศตวรรษที่สี่กล่าวว่าบางคนยัง ไม่ยอมรับจดหมายฉบับนี้ ในพระศาสนจักรที่พูดภาษาซีเรียค
จดหมายฉบับนี้ถูกรับเข้าในสารบบพันธสัญญาใหม่ในศตวรรษที่สี่เท่านั้น ในอัฟริกา
เหนือแทร์ทุลเลียนและนักบุญชีเปรียญไม่รู้จักจดหมายฉบับนี้ สารบบพระคัมภีร์ที่มอมเสนค้นพบ
(Mommsens Catalogue เขียนไว้ราวปี 360) ยังไม่มีชื่อจดหมายนี้รวมอยู่ด้วย ที่กรุงโรมจดหมายฉบับนี้ก็ไม่ปรากฏในสารบบพระคัมภีร์ที่มูราโตรีได้ค้นพบ
(Canon of Muratori ซึ่งนักบุญ ฮิปโปลีตัสอาจเป็นผู้เขียนขึ้นราวปี 200) ไม่แน่นักว่าเคลเมนต์แห่งโรมและหนังสือที่ชื่อ
ผู้เลี้ยง ของเฮอร์มัสจะอ้างถึงข้อความจากจดหมายนี้หรือไม่ จึงอาจสรุปได้ว่าจดหมายฉบับนี้ไม่เป็นที่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ในพระศาสนจักรทั้งทางตะวันออก
และทางตะวันตกจนกระทั่งปลายศตวรรษที่สี่
เมื่อกลุ่มคริสตชนต่าง ๆ ยอมรับจดหมายฉบับนี้ในสารบบของพันธสัญญาใหม่แล้ว ต่างก็คิดว่าผู้เขียนคือยากอบ น้องชายของพระเยซูเจ้า (มธ 13:55 เชิงอรรถ o เทียบ 12:46//) ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกลุ่มคริสตชนสมัยแรกที่กรุงเยรูซาเล็ม (กจ 12:17 เชิงอรรถ f; 15:13-21; 21:18-26; 1 คร 15:7; กท 1:19; 2:9,12) และถูกชาวยิวประหารชีวิตในราวปี ค.ศ. 62 (โยเซฟัส เฮเจสิปปัส) ยากอบผู้เขียนจดหมายนี้ไม่ใช่คนเดียวกันกับอัครสาวกยากอบบุตรของเศเบดีอย่างแน่นอน (มธ 10:2//) ยากอบบุตรเศเบดีถูกเฮโรดสั่งประหารในปี ค.ศ. 44 (กจ 12:2) ในทางทฤษฎียากอบผู้เขียนจดหมายอาจจะเป็นคนเดียวกับ อัครสาวกยากอบบุตรของอัลเฟอัส (มธ 10:3//) ก็ได้ แต่ตามที่เป็นจริง แม้นักเขียนในสมัยแรกก็ยังสงสัย นักวิชาการส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันคิดว่าผู้เขียนจดหมายนี้ไม่ใช่อัครสาวก ข้อความที่เปาโลเขียนไว้ใน กท 1:19 ก็ไม่บอกชัดเจนว่ายากอบน้อง ขององค์พระผู้เป็นเจ้านี้เป็นอัครสาวกหรือไม่
ปัญหาที่แท้จริงไม่อยู่ตรงนี้ แต่ลึกซึ้งกว่า ผู้เขียนจดหมายอ้างว่าเป็น น้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่การอ้างเช่นนี้อธิบายได้ยาก ถ้า น้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขียนจดหมายฉบับนี้จริง ทำไมพระศาสนจักร จึงไม่ได้รับว่าเป็นพระคัมภีร์ในทันที นอกจากนั้น จดหมายนี้ยังเขียนเป็นภาษากรีกและใช้ภาษาได้อย่างงดงาม ใช้คำศัพท์สละสลวยและใช้เหตุผล โต้เถียงอย่างมีวาทศิลป์ซึ่งน่าจะเกินความสามารถของผู้เขียนซึ่งเป็นชาวกาลิลีคนหนึ่ง ยากอบอาจได้รับความช่วยเหลือในการเขียนจากศิษย์ที่รู้ ภาษากรีกอย่างดี แต่นี่เป็นเพียงการคาดคะเนที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ ปัญหาที่หนักที่สุดอยู่ที่ว่า จดหมายฉบับนี้มีลักษณะคล้ายกันมากกับข้อเขียนใน ปลายศตวรรษที่หนึ่งหรือต้นศตวรรษที่สอง โดยเฉพาะกับจดหมายฉบับแรกของเคลเมนต์แห่งโรมและหนังสือที่ชื่อ ผู้เลี้ยง ของเฮอร์มัส บางคน อ้างว่า งานเขียนสองฉบับนี้ยกข้อความหลายตอนมาจากจดหมายของยากอบ แต่ปัจจุบันนักวิชาการมีความเห็นว่า ความใกล้เคียงของผลงานเหล่านี้ น่าจะเนื่องมาจากการใช้แหล่งข้อมจึงกล่าวว่าจดหมายของยากอบเขียนขึ้นปลายศตวรรษที่หนึ่ง หรือต้นศตวรรษที่สองูลเดียวกัน และจากข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้เขียนต่างต้องเผชิญกับปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้น นักวิชาการหลายคนในปัจจุบันคำสอนเรื่อง พระคริสตเจ้าในจดหมายนี้ยังไม่พัฒนามากนักก็จริง แต่คงไม่ใช่เพราะเขียนขึ้นในสมัยแรก แต่เพราะได้ความคิดมาจากแวดวงของ คริสตชนชาวยิว ซึ่งเป็นทายาททางความคิดของยากอบ น้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า และยังไม่ได้รับอิทธิพลจาก พัฒนาการของเทววิทยามากนัก
ถ้าเป็นความจริงว่ายากอบ น้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เขียน จดหมายฉบับนี้ จดหมายนี้น่าจะเขียนขึ้นก่อนปี ค.ศ.62 ซึ่งเป็นปีที่ยากอบถูกประหาร ถ้าเป็นเช่นนี้ เราอาจอธิบายความเกี่ยวข้องของ จดหมายนี้กับ กท/รม ได้สองวิธี ในเรื่องเกี่ยวกับการบันดาลความชอบธรรมอาศัยความเชื่อ นักวิชาการบางคนคิดว่ายากอบเป็นผู้โต้เถียงกับเปาโล หรือที่ถูกกว่านั้นได้เถียงกับคริสตชนที่บิดเบือนคำสอนของเปาโล แต่นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ คิดว่า เปาโลเป็นผู้คัดค้านความคิดของยากอบ ถ้าเป็นเช่นนี้ จดหมายของยากอบจะต้องเขียนขึ้นในราวปี ค.ศ. 45-50 การเขียนในสมัยแรกเช่นนี้จึงอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมคำสอนเรื่องพระคริสตเจ้าใน จดหมายจึงยังไม่พัฒนา แต่ข้อสังเกตในย่อหน้าที่แล้วชวนให้คิดว่าจดหมายนี้ไม่น่าจะเขียนขึ้นในสมัยแรกเช่นนี้ (ปี ค.ศ. 45-50)
จดหมายนี้เขียนถึง ตระกูลทั้งสิบสองตระกูลที่กระจัดกระจายอยู่ (1:1) หมายถึงคริสตชนชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรกรีก โรมัน แต่อยู่กันหนาแน่นในประเทศใกล้เคียงกับปาเลสไตน์ ได้แก่ ซีเรียและอียิปต์ น้ำเสียงทั่วไปของจดหมาย แสดงให้เห็นว่า จดหมายนี้มุ่งถึงคริสตชนชาวยิว และเข้าใจว่าผู้อ่านคุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิมแล้ว จึงไม่ยกเอาข้อความจาก พระคัมภีร์มาอ้างโดยตรง ต่างจากเปาโลและผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรู ยากอบมักอ้างถึงความคิดกว้าง ๆ ของพระคัมภีร์เท่านั้น ยากอบได้ความคิดในจดหมายมาจากสองแหล่งคือ 1.วรรณกรรมปรีชาญาณในพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นพื้นฐานของ คำสอนด้านจริยธรรม 2.คำสอนในพระวรสาร นักวิชาการบางคนคิดว่าจดหมายนี้เป็นผลงานของชาวยิวแต่อย่างเดียว แต่ตรงกันข้าม เราพบความคิดและสำนวนเฉพาะของพระเยซูเจ้าได้ทั่วไปในจดหมาย ไม่ใช่เป็นข้อความที่ยกมาอ้างจากพระวรสาร แต่เป็นการกล่าวพาดพิงถึงธรรมประเพณีที่สืบทอดโดยบอกเล่าต่อ ๆ กันมา ยากอบเป็นปราชญ์คริสตชนชาวยิวซึ่งนำข้อคิด จากธรรมประเพณีปรีชาญาณของชาวยิวมาพิจารณาร่วมกับคำสอนของพระคริสตเจ้าและนำเสนอความคิดเหล่านี้ในแบบ ของตนที่ไม่ซ้ำกับใคร
จดหมายนี้มีลักษณะเป็นบทเทศน์มากกว่าเป็นจดหมายสะท้อนคำสอนธรรมดาของกลุ่มคริสตชน เมื่อมาชุมนุมกัน ประกอบด้วยคำเตือนใจด้านจริยธรรมเป็นชุด ๆ ที่เกี่ยวข้องกันโดยหัวเรื่องเดียวกัน หรือบางครั้งเพียงเพราะคำคล้องจองกัน หัวเรื่องที่พูดถึงมีดังนี้ 1.ต้องประพฤติตนอย่างไรในเวลาที่ถูกทดลอง (ยก 1:1-12; 5:7-11) 2. ที่มาของการล่อลวง (1:13-18) 3. การรู้จักควบคุมลิ้นของตน (1:26; 3:1-18) 4. ความสัมพันธ์ที่ดีและความเห็นอกเห็นใจพี่น้อง (2:8,13; 3:13-4:2; 4:11ฯ) 5. พลังของการอธิษฐานภาวนา (1:5-8; 4:2ฯ; 5:13-18 ฯลฯ) ใน 5:14ฯ เราพบข้อความสำคัญเกี่ยวกับศีลเจิมคนไข้
จดหมายนี้มีความคิดหลักอยู่สองข้อข้อแรกยกย่องคนยากจนและตำหนิคนร่ำรวย (1:9-11; 1:27-2:9; 4:13-5:6) โดยแสดงให้เห็นความห่วงใยต่อผู้ต่ำต้อย ซึ่งเป็นบุคคลที่พระเจ้าโปรดปราน ความคิดนี้มาจากธรรมประเพณีของพันธสัญญาเดิมและโดยเฉพาะจากบทเทศน์บนภูเขา (มธ 5:3 เชิงอรรถ d) ความคิดที่สองเน้นว่า คริสตชนต้องทำความด ี ไม่พึงพอใจเพียงความเชื่อซึ่งไม่เกิดผล (1:22-27; 2:10-26) ผู้เขียนขยายความคิดนี้ใน 2:14-26 ซึ่งเยาะเย้ยการเทศน์ประกาศความเชื่อที่ไม่มีความ เกี่ยวข้องกับกิจการดีใด ๆ ทั้งสิ้น บางคนเห็นข้อความนี้เป็นการกล่าวโจมตี เปาโลโดยเฉพาะ ยก และ กท/รม มีคำสอนหลายข้อใกล้เคียงกัน ที่น่าสังเกตเป็น พิเศษคือวิธีอธิบายข้อความเกี่ยวกับอับราฮัมในพันธสัญญาเดิมในความหมายต่างกัน ยากอบอาจคัดค้านเปาโล หรือบางทีอาจคัดค้านคริสตชนบางคนที่ดึง ข้อสรุปผิด ๆ จากคำสอนของเปาโล ในเรื่องนี้มีข้อสังเกตน่าพิจารณาสองประการ ประการแรกแม้ทั้งสองคนมีทัศนะต่างกัน เปาโลและยากอบต่างเห็นพ้อง ต้องกันในสาระสำคัญ (ดู 2:14 เชิงอรรถ f) ประการที่สอง ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อกับกิจการเป็นปัญหาปกติของชาวยิวในสมัยนั้น และอาจจะ เป็นหัวข้อที่ทั้งยากอบและเปาโลต่างนำมาพิจารณาตามแนวความคิดของตน
2. จดหมายของยูดา
ยูดาซึ่งเรียกตนเองว่าเป็น น้องชายของยากอบ (ข้อ 1) ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในบรรดา
พี่น้องของพระเยซูเจ้า ด้วยเหมือนกัน (มธ 13:55//) ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับอัครสาวกที่มีชื่อนี้
(ลก 6:16; กจ 1:13 เทียบ ยน 14:22) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเขากล่าวถึงตนเองว่าอยู่นอกกลุ่มของบรรดาอัครสาวก
(ข้อ 17) ในเมื่อยูดาไม่มีความสำคัญมากนัก จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าผู้เขียนนิรนามคนหนึ่งจะเอาชื่อนี้มาใช้
เราอาจสรุปได้ว่าผู้เขียนมีชื่อ ยูดา จริง ๆ พระศาสนจักรหลายกลุ่มได้ยอมรับจดหมายนี้เข้าอยู่ในสารบบพระคัมภีร์ตั้งแต่ปี
200 แล้ว แม้ว่าบางคนมีความลังเลที่จะยอมรับเพราะจดหมายนี้อ้างข้อความจากหนังสือที่มีลักษณะคล้ายพระคัมภีร์
(apocryphal) สองฉบับ คือ หนังสือเอโนค (ข้อ 6,14ฯ) และหนังสือการยกขึ้นสวรรค์ของโมเสส
(ข้อ 9) แต่การอ้างข้อความจากข้อเขียนของชาวยิวร่วมสมัยไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนจดหมายคิดว่าหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้รับการ
ดลใจให้เป็นพระคัมภีร์
เจตนาของยูดาในการเขียนจดหมายนี้เพื่อเป็นการประณามผู้สอนผิดซึ่งป็นอันตรายต่อความเชื่อคริสตชน
เขากล่าวว่าคนเหล่านี้จะถูกพระเจ้าลงโทษโดยใช้สำนวนที่นิยมกันในธรรมประเพณีของชาวยิว
(ข้อ 5-7) และยังบรรยายคำสอนผิด ๆ นี้โดยใช้สำนวนซึ่งเป็นที่คุ้นเคยเช่นเดียวกัน
(ข้อ 11) เขาไม่กล่าวชัด ๆ เลยว่าคำสอนผิด ๆ เหล่านี้คืออะไร ดังนั้นเราจึงไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นคำสอนของลัทธิจินไตยนิยมในศตวรรษที่สอง
เขากล่าวหาบุคคลเหล่านั้นว่าเป็นพวกไม่เคารพพระเจ้าและพวกไม่มีศีลธรรม โดยเฉพาะเป็นผู้ที่กล่าวดูหมิ่นต่อพระคริสตเจ้าและทูตสวรรค์
(ข้อ 4,8-10) คำสอนผิด ๆ เหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่ชอบรับเอาคำสอนจากปรัชญาและศาสนาต่าง
ๆ มารวมเข้าด้วยกัน ดังที่มีประณามไว้ในจดหมายถึงชาว โคโลสี ในจดหมายเกี่ยวกับการอภิบาลและในหนังสือวิวรณ์
จดหมายฉบับนี้ต้องเขียนขึ้นตอนปลายศตวรรษแรก เพราะกล่าวว่าบรรดาอัครสาวกได้ผ่านพ้นเป็นอดีตไปแล้ว
(ข้อ 17ฯ) ความเชื่อเป็นข้อความที่กำหนดตายตัวแล้ว และ พระเจ้าได้ประทานให้ครั้งเดียวตลอดไป
(ข้อ 3) ผู้เขียนดูเหมือนจะคุ้นเคยกับจดหมายของเปาโลอีกด้วย เป็นความจริงว่า 2
ปต ขอยืมข้อความมาจากยูดา และดังนั้นจึงต้องเขียนขึ้นภายหลัง แต่ จดหมายของเปโตรฉบับที่สอง
อาจเขียนขึ้นหลังจากมรณกรรมของเปโตรก็ได้ จึงอาจสรุปได้ว่าจดหมายของยูดาเขียนขึ้นตอนปลายสมัยอัครสาวก
จดหมายของเปโตร ฉบับที่ 1
ธรรมประเพณีเห็นว่าเปโตรได้เขียน จดหมายสากล 2 ฉบับ 1 ปต มีชื่อ เปโตรอัครสาวกขึ้นต้น (1:1) และพระศาสนจักรทุกแห่งยอมรับว่าจดหมายนี้เป็นของ เปโตร เคลเมนต์แห่งโรมดูเหมือนได้ใช้จดหมายนี้ โพลีคารปได้ใช้อย่างแน่นอน และตั้งแต่สมัยของอีเรเนอัสเป็นต้นมา ต่างถือกันว่าจดหมายนี้เป็นของเปโตรอย่างชัดเจน ท่านอัครสาวกเขียนจดหมายนี้จากกรุงโรม (บาบิโลน 5:ธรรมประเพณีเล่าว่าเปโตรได้ไปที่กรุงโรมและถูกประหารชีวิต เป็นมรณสักขี13) และเรียกมาระโกซึ่งอยู่กับตนว่า บุตร เราไม่รู้เรื่องราวตอนปลายชีวิตของเปโตรมากนัก ในรัชสมัยพระจักรพรรดิเนโร (ในปี ค.ศ. 64 หรือบางทีอาจจะเป็นปี ค.ศ. 67) จดหมายฉบับนี้เขียนถึงคริสตชน ที่กระจัดกระจายอยู่ ใน 5 แคว้นของจักรวรรดิ (1:1) ซึ่งกินเนื้อที่ของอาเซียน้อยแทบทั้งหมด จากข้อความใน จดหมาย (1:14,18; 2:9ฯ; 4:3) ดูเหมือนว่า ผู้รับจดหมายส่วนใหญ่เป็นคริสตชนที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่อาจมีบางคนที่เป็นชาวยิวก็ได้ เปโตรจำเป็นต้องเขียนจดหมายเป็นภาษากรีกและภาษากรีกของจดหมายนี้แม้เป็นภาษาง่าย ๆ แต่ก็ยังเป็นภาษากรีกที่ถูกไวยากรณ์และสละสลวยเกินไปที่จะเป็นภาษาของชาวประมงจากกาลิลี มีการกล่าวถึงชื่อของศิษย์ซึ่งอาจเป็นเลขานุการที่ช่วยเขียนคือสิลวานัส (5:12) ผู้นี้อาจเป็นคนเดียวกันกับสิลาสซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมเดินทางของเปาโลนั่นเอง (กจ 15:22 เชิงอรรถ x) จดหมายฉบับนี้มีเจตนาที่จะช่วยค้ำจุนความเชื่อของผู้อ่านในช่วงเวลาที่ถูกทดลอง นักวิชาการบางคนคิดว่าการทดลองที่ว่านี้คือการเบียดเบียนในสมัยจักรพรรดิโดมีเซียนหรือทราจัน ถ้าเป็นเช่นนี้ จดหมายฉบับนี้ต้องเขียนหลายปีหลังจากมรณกรรมของเปโตร แต่การกล่าวถึงการเบียดเบียนในจดหมายไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เราต้องสรุปเช่นนี้ เพราะดูเหมือนว่า ช่วงเวลาที่ถูกทดลอง ที่กล่าวถึงนี้อาจจะหมายถึงความมุ่งร้ายใส่ความเป็นการส่วนตัวต่อผู้ที่เพิ่งกลับใจมาเป็นคริสตชน จากประชาชนที่เห็นว่าคริสตชนเหล่านี้ไม่ดำเนินชีวิตเลวเหมือนกับพวกเขาอีกต่อไป (2:12; 3:16; 4:4,12-16) แต่ยังมีเหตุผลที่ทำให้คิดว่าเปโตรไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ด้วย คือจดหมายฉบับนี้ใช้ข้อความจาก ยน รม และ อฟ บ่อย ๆ และอ้างข้อความจากพระวรสารโดยตรงไม่บ่อยนัก เพื่อแสร้งว่าผู้เขียนเป็นอัครสาวกซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนที่หนังสือพระวรสารจะเขียนขึ้น แต่เหตุผลเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ เพราะข้อความที่ทำให้คิดถึงพระวรสารนั้นคลุมเครือเกินกว่าจะคิดว่าผู้เขียนแสร้งอ้างถึง ยิ่งกว่านั้น นักวิชาการที่คิดว่าเปโตรไม่ได้เขียนจดหมายนี้มักจะเน้นมากเกินไปว่า 1 ปต มีความคิดใกล้เคียงกันกับ ยก และเปาโล โดยแท้จริงแล้วความคิดหลักโดยเฉพาะของเปาโล เช่น การยกเลิกธรรมบัญญัติของชาวยิว เรื่องพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า ฯลฯ ไม่มีปรากฏในจดหมายนี้เลย ส่วนความคิดหลักของเปาโลที่ปรากฏในจดหมายนี้ก็เป็นความคิดที่รู้จักกันดีจากเทววิทยาทั่วไปของ คริสตชนในสมัยแรก เช่น การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า เป็นการไถ่กู้มนุษยชาติ เรื่องความเชื่อและศีลล้างบาป ฯลฯ นักวิชาการยังชี้ให้เห็นสูตรและข้อความอ้างอิงจากพันธสัญญาเดิมที่คริสตชนในสมัยแรกใช้ในการเทศน์สอน ซึ่งนักเขียนคนใดก็ได้อาจนำมาใช้ในผลงานของตนโดยเอกเทศ เราต้องไม่ลืมว่าสิลวานัสเป็นศิษย์ของอัครสาวกทั้งสอง นักวิชาการอื่น ๆ เห็นว่า 1 ปต มีความคิดใกล้เคียงไม่เพียงแต่กับความคิดของเปาโลเท่านั้น แต่ยังใกล้เคียงกับข้อเขียนของมาระโก และบทเทศน์ของเปโตรในหนังสือกิจการอัครสาวกอีกด้วย ถ้าเนื้อหาสาระส่วนใหญ่ของจดหมายได้เขียนแล้วก่อนที่เปโตร จะถูกประหารในปี ค.ศ. 64 หรือ ค.ศ. 67 ในช่วงเวลาสองสามปีหลังจากนั้นสิลวานัสอาจได้เรียบเรียงข้อความเหล่านี้ให้เป็นจดหมายในรูปแบบที่เรามีในปัจจุบัน โดยปฏิบัติตามคำแนะนำและใช้อำนาจของเปโตร สมมติฐานเช่นนี้น่าจะเป็นไปได้ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่า จดหมายนี้เป็นการรวบรวมข้อความต่าง ๆ ที่เคยแยกกันอยู่แต่ก่อน (เช่น บทเทศน์ในพิธีศีลล้างบาป 1:13-4:11 เป็นข้อความดังกล่าวชิ้นหนึ่ง) แต่การจะเจาะจงลงไปว่าข้อความแต่ละตอนมีอะไรบ้างนั้นเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น แม้ว่าจดหมายฉบับนี้ให้คำแนะนำในด้านปฏิบัติ แต่ก็ยังสรุปเทววิทยาในสมัยอัครสาวกไว้อย่างดี ความคิดหลักที่สำคัญของจดหมายนี้คือความเข้มแข็งในเวลาที่ถูกทดลอง โดยที่พระคริสตเจ้าทรงเป็นแบบฉบับในเรื่องนี้ (2:21-25; 3:18; 4:1) คริสตชนต้องยอมรับทรมานด้วยความพากเพียรอดทนเหมือนกับพระองค์ เมื่อพวกเขาถูกทดลองเพราะความเชื่อและเพราะการดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ (2:19ฯ; 3:14; 4:12-19; 5:9) นั่นคือถ้าพวกเขาตอบสนองความชั่วด้วยความรัก นอบน้อมเชื่อฟังต่อผู้มีอำนาจทางบ้านเมือง (2:13-17) และมีความ อ่อนโยนกับทุกคน (3:8-17;4:7-11,19) มีข้อความตอนหนึ่งที่เข้าใจยาก (3:19ฯ เทียบ 4:6) คำว่า การเทศน์ของ พระคริสตเจ้า อาจจะหมายถึงการประกาศความรอดพ้นหรือการลงโทษ จิตที่ถูกจองจำ อาจจะหมายถึงคนชั่วร้ายซึ่งจมน้ำตายเมื่อน้ำวินาศมาท่วมโลก หรืออาจหมายถึงทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปดังที่ธรรมประเพณีและในวรรณกรรมวิวรณ์กล่าวไว้ ไม่ว่าจะคิดตามทรรศนะใด คำว่า การเทศน์ ของพระคริสตเจ้าในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์สิ้นพระชนม์และข้อความนี้เป็นแหล่งที่มาของคำสอนเรื่องการเสด็จ ลงใต้บาดาลของพระองค์
จดหมายของเปโตร ฉบับที่ 2
จดหมายของเปโตรฉบับที่สองอ้างว่าท่านอัครสาวกเป็นผู้เขียน จดหมายนี้กล่าวชื่อของเปโตรในตอนเริ่มต้นจดหมาย
(1:1) กล่าวถึงพระเยซูเจ้าทรงทำนายล่วงหน้าถึงความตายของเปโตรว่าได้ตรัสกับผู้เขียนเอง
(1:14) ผู้เขียนยังอ้างอีกว่าตนได้เป็นผู้รู้เห็นพระคริสตเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์
(1:16-18) และยังกล่าวถึงจดหมาย ฉบับก่อน ซึ่งหมายถึง 1 ปต อย่างแน่นอน
จดหมายนี้มีเจตนาสองประการคือ 1. เพื่อเตือนบรรดาคริสตชนให้ระวังผู้สอนผิด (บทที่
2) และ 2. เพื่อขจัดความกังวลใจที่พระคริสตเจ้ายังไม่เสด็จกลับมาอย่างรุ่งเรืองสักที
(บทที่ 3) เป็นไปได้ว่า ปัญหาทั้งสองนี้มีอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อเปโตรยังมีชีวิตอยู่
แต่เหตุผลหลายประการชวนให้คิดว่าเปโตรไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ แต่จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นในภายหลัง
คำศัพท์ที่ใช้แตกต่างไปจาก 1 ปต บทที่ 2 ทั้งบทเป็นการคัดลอกข้อความจากจดหมายของยูดาอย่างหลวม
ๆ จดหมายนี้กล่าวว่าในขณะนั้น คริสตชนได้รวบรวมจดหมายของเปาโลและให้ความสำคัญเป็นพิเศษแล้ว
(3:15ฯ) จดหมายนี้กล่าวถึงคณะอัครสาวกคู่กับบรรดาประกาศกว่าท่านเหล่านี้ได้ล่วงลับไปแล้วโดยที่ผู้เขียนมิได้นับรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักเขียนคริสตชนตั้งแต่แรกมาแล้วสงสัยว่าเปโตรมิได้เขียนจดหมายฉบับนี้
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า จดหมายนี้เป็นที่ยอมรับก่อนศตวรรษที่สาม นักเขียนโบราณ เช่น
โอริเจน ยูเซบีอัสและเยโรมกล่าวว่า บางคนไม่ยอมรับจดหมายฉบับนี้อย่างเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์ในปัจจุบันนี้ส่วนมากคิดว่าเปโตรไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้
แม้ว่าผู้เขียนอาจมีเหตุผลที่อ้างอำนาจของเปโตรได้ก็ตาม ผู้เขียนอาจเป็นศิษย์คนหนึ่งของเปโตร
และอาจนำความคิดในจดหมายของยูดามาเสริมข้อเขียนของเปโตรก็เป็นได้ ในสมัยของเราการทำเช่นนี้ต้องนับว่าเป็นการปลอมแปลง
แต่ในสมัยโน้นการใช้นามของผู้อื่นในข้อเขียนของตนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
จดหมายนี้ได้รับการยอมรับจากพระศาสนจักรเข้าในสารบบอย่างไม่ต้องสงสัย คริสตชนยอมรับจดหมายนี้ว่าเป็นเอกสารแท้จากสมัยของบรรดาอัครสาวก
คำสอนในจดหมายนี้สนับสนุนความคิดเช่นนี้ เช่น คำสอนเรื่องการที่คริสตชนทุกคนได้รับเรียกให้มา
มีส่วนร่วมพระธรรมชาติของพระเจ้า (1:4) คำสอนเรื่องการดลใจในการเขียน พระคัมภีร์
(1:20ฯ) การยืนยันถึงการเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองของพระคริสตเจ้า แม้ไม่มีผู้ใดจะรู้วันเวลาก็ตาม
คำทำนายถึงโลกใหม่ที่ปราศจากความอยุติธรรมหลังจากโลกเก่าถูกไฟเผาทำลายจนสิ้นแล้ว
(3:3-13)
จดหมายทั้งสามฉบับของยอห์น
จดหมายสามฉบับซึ่งธรรมประเพณีกล่าวว่า ยอห์น เป็นผู้เขียน มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระวรสารทั้งในลีลาการเขียนและคำสอนจนกระทั่งเกือบทุกคนยอมรับว่า
เป็นผลงานจากสำนักเดียวกัน เคยมีเวลาหนึ่งที่บางคนสงสัยว่า ยอห์นอาจไม่ใช่ผู้เขียนจดหมายฉบับที่สองและที่สาม
ตามหลักฐานที่พบได้ในข้อเขียนของโอริเจน ยูเซบีอัสแห่งซีซารียาและ เยโรม ขณะที่พระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอกและในแคว้นซีเรียโดยทั่วไปไม่ยอมรับ
จดหมายสองฉบับนี้เข้าอยู่ในสารบบพระคัมภีร์เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามจดหมายสั้น
ๆ ทั้งสองฉบับนี้ไม่มีคำสอนสำคัญอะไรนัก จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเข้ามาอยู่ใน สารบบพระคัมภีร์
ถ้าหากว่าไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพระวรสารของยอห์น
3 ยอห์น น่าจะเป็นจดหมายที่เขียนก่อนฉบับอื่น จดหมายฉบับนี้ต้องการยุติปัญหาเรื่องอำนาจปกครองในพระศาสนจักรแห่งหนึ่ง
ซึ่งผู้นำไม่ยอมรับอำนาจปกครองของผู้เขียน
2 ยอห์น เขียนถึงพระศาสนจักรอีกแห่งหนึ่งเพื่อตอบโต้ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงที่ว่า
พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
1 ยอห์น เป็นจดหมายสำคัญที่สุดในสามฉบับนี้ มีรูปแบบหมือนกับสารเวียนถึงกลุ่มคริสตชนต่าง
ๆ ในแคว้นอาเซียที่กำลังถูกคุกคามจากคำสอนของบรรดามิจฉาทิฐิในศตวรรษแรก ในจดหมายฉบับนี้
ผู้เขียนสรุปสาระทั้งหมดของประสบการณ์ทางศาสนาของตน เขาค่อย ๆ พัฒนาแนวคิดที่คล้ายคลึงกัน
เช่น แสงสว่าง (1:5ฯ) ความชอบธรรม (2:29ฯ) ความรัก (4:7-8ฯ) และความจริง (5:6ฯ)
แล้วจึงใช้ความคิดดังกล่าวนี้เป็นฐาน อธิบายว่าคริสตชนในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า
จำเป็นต้องดำเนินชีวิตอย่างดีบริบูรณ์ ซึ่งสำหรับยอห์นหมายถึงการปฏิบัติตามบทบัญญัติสองประการ
คือต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และต้องรักเพื่อนมนุษย์
(ดู เชิงอรรถ 1:3,7) 1 ยน เป็นจดหมายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพระ วรสารของยอห์นมากที่สุดทั้งในลีลาการเขียนและคำสอน
จดหมายฉบับนี้น่าจะเขียนขึ้นประมาณช่วงเวลาเดียวกันกับพระวรสาร แต่เรายังไม่อาจกำหนดได้ว่า
1 ยน เขียนก่อนหรือหลังพระวรสาร