บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ l
พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์”l พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล
คำพูดชี้ให้เห็นความคิดในใจ l เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์ l ปีศาจกลับมาอีก l
พระญาติแท้ของพระเยซูเจ้า


 

มธ 12:1-8 บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต

12(1) ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน
(2) เมื่อชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำลังทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต”
(3) พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดเมื่อหิวโหย (4) พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตามขนมปังนั้นผู้ใดจะกินไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น
(5) ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด
(6) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารเสียอีก
(7) ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด
(8) เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”


มธ 12:9-14 พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ

(9) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นเข้าไปในศาลาธรรม
(10) ทรงพบชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคนถามพระองค์ว่า “ธรรมบัญญัติอนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่” ทั้งนี้เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์
(11) แต่พระองค์ทรงตอบเขาว่า “ท่านใดมีแกะอยู่ตัวเดียว และแกะนั้นตกบ่อในวันสับบาโต เขาจะไม่ไปจับมันและฉุดขึ้นมาดอกหรือ
(12) มนุษย์คนหนึ่งย่อมมีค่ากว่าแกะมากนัก ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงอนุญาตให้ทำความดีในวันสับบาโตได้”
(13) แล้วพระองค์ตรัสกับชายผู้นั้นว่า “จงเหยียดมือซิ เขาจึงเหยียดมือ และมือนั้นก็กลับเป็นปรกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง
(14) ชาวฟาริสีจึงไปชุมนุมปรึกษากันว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร


TOP

 


มธ 12:15-21 พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์”

(15) พระเยซูเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงเสด็จไปจากที่นั่น ผู้คนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หายจากโรค
(16) แต่ทรงกำชับเขามิให้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้
(17) ทั้งนี้เพื่อให้พระวาจาที่ตรัสทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า
(18) นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกสรรไว้ นี่คือผู้ที่เรารัก ซึ่งเราโปรดปราน เราจะให้จิตของเราแก่เขา และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่นานาชาติ
(19) เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และจะไม่ส่งเสียงเอ็ดอึง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามลานสาธารณะ
(20) เขาจะไม่หักต้นอ้อที่ช้ำแล้ว เขาจะไม่ดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่
(21) จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา



มธ 12:22-32 พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล

(22) ครั้งหนึ่ง มีผู้นำคนตาบอดเป็นใบ้และถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย คนนั้นก็พูดได้และมองเห็น
(23) ประชาชนทุกคนต่างประหลาดใจพูดว่า “คนนี้ เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดใช่ไหม”
(24) เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนี้ ก็พูดว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง”
(25) พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกกันเองย่อมพินาศ เมืองใดหรือครอบครัวใดแตกแยกกันเองย่อมจะตั้งอยู่ไม่ได้
(26) ถ้าซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกันเอง แล้วอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ได้อย่างไร
(27) ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของใครเล่า เพราะฉะนั้น พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินท่าน
(28) แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว
(29) “ผู้ใดจะเข้าไปในบ้านของผู้เข้มแข็งและปล้นทรัพย์สินของเขาได้ ถ้าไม่มัดผู้เข้มแข็งไว้ก่อน เมื่อทำเช่นนี้แล้วเท่านั้น เขาจึงจะปล้นบ้านนั้นได้
(30) “ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ผู้ใดไม่รวบรวมสิ่งต่าง ๆ ไว้กับเรา ย่อมทำสิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป
(31) ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปทุกชนิดรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าด้วย แต่คำดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย
(32) ใครที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ใครที่กล่าวร้ายต่อพระจิตของพระเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

TOP

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มธ 12:33-37 คำพูดชี้ให้เห็นความคิดในใจ

(33) “ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ดี ผลก็ย่อมดีด้วย ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ไม่ดี ผลย่อมไม่ดีด้วย ท่านจะรู้จักต้นไม้จากผลของมัน
(34) เจ้าสัญชาติงูร้ายเอ๋ย เจ้าจะพูดดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเป็นคนเลว ปากย่อมพูดสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ
(35) คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งเลวออกจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน
(36) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำที่เขาเคยพูด
(37) เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน”


มธ 12:38-42 เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์

(38) เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งจากท่าน
(39) พระองค์ทรงตอบว่า “คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต้องการเห็นเครื่องหมายนี้รึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น
(40) โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น
(41) ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจ เมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก
(42) ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้ จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก


มธ 12:43-45 ปีศาจกลับมาอีก

(43) “เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ
(44) มันจึงพูดว่า “ข้าจะกลับไปยังบ้านของข้าที่ข้าจากมา” เมื่อกลับมาถึงมันพบว่าบ้านนั้นว่าง ปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย
(45) มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่ามัน เข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม คนชั่วร้ายของยุคนี้จะเป็นเช่นนี้”


มธ 12:46-50 พระญาติแท้ของพระเยซูเจ้า

(46) ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสกับประชาชน พระมารดาและพระญาติของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการพูดกับพระองค์
(47)
(48) พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้นว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพี่น้องของเรา”
(49) แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา
(50) เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”

Back

back

Free Web Hosting