พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกา |
ปฐมวัยของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
และของพระเยซูเจ้า
ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการเกิดของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูเจ้า
พระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ
บทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์
การเกิดของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
ยอห์นผู้ทำพิธีล้างเข้าสุหนัต
บทถวายพระพรของเศคาริยาห์
ชีวิตซ่อนเร้นของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
ลก 1:1-4 อารัมภบท
1(1) ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา
(2) ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว
(3) ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย
ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ
(4) เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
Iปฐมวัยของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และของพระเยซูเจ้า
ลก 1:5-25 ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการเกิดของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
(5) ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดผู้ปกครองแคว้นยูเดีย สมณะผู้หนึ่งชื่อเศคาริยาห์ประจำเวรในหมวดของอาบียาห์
มีภรรยาชื่อเอลีซาเบธ จากตระกูลสมณะอาโรน
(6) ทั้งสองคนเป็นผู้ชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำหนดทุกข้อของพระเจ้าโดยไม่มีข้อตำหนิ
(7) แต่สามีภรรยาคู่นี้ไม่มีบุตร เพราะนางเอลีซาเบธเป็นหมัน และทั้งสองคนชรามากแล้ว
(8) วันหนึ่ง เศคาริยาห์กำลังปฏิบัติหน้าที่สมณะเฉพาะพระพักตร์ตามเวรในหมวดของตน
(9) ตามธรรมเนียมของสมณะ เขาจับสลากได้หน้าที่เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้าเพื่อถวายกำยาน
(10) ขณะที่มีการถวายกำยาน ประชาชนที่มาชุมนุมกันต่างอธิษฐานภาวนาอยู่ภายนอก
(11) ทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าปรากฏองค์ยืนอยู่เบื้องขวาของพระแท่นถวายกำยาน
(12) เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็รู้สึกวุ่นวายใจและมีความกลัวอย่างมาก
(13) แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เขาว่า “เศคาริยาห์ อย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว
เอลีซาเบธภรรยาของท่านจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่ายอห์น
(14) ท่านจะมีความชื่นชมยินดีและคนจำนวนมากจะยินดีที่เขาเกิดมา
(15) เพราะว่าเขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุราเมรัยเลย
เขาจะรับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา
(16) เขาจะนำบุตรหลานของอิสราเอลจำนวนมากกลับมายังองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
(17) เขาจะมีจิตใจและพลังของประกาศกเอลียาห์มาเตรียมรับการเสด็จมาของพระองค์เพื่อทำให้บิดาคืนดีกับบุตรและทำให้ผู้ไม่เชื่อฟังกลับมีจิตสำนึกของผู้ชอบธรรม
เป็นการเตรียมประชากรให้พร้อมที่จะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า”
(18) เศคาริยาห์จึงถามทูตสวรรค์ว่า “ข้าพเจ้าจะแน่ใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าชราแล้ว
และภรรยาของข้าพเจ้าก็อายุมากแล้วด้วย”
(19) ทูตสวรรค์จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าคือกาเบรียล ซึ่งเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้งให้ท่านทราบ
(20) แต่ท่านไม่เชื่อคำของข้าพเจ้า ซึ่งจะเป็นจริงเมื่อถึงเวลากำหนดดังนั้น ท่านจะเป็นใบ้จนถึงวันที่เหตุการณ์นี้จะเป็นจริง”
(21) ขณะนั้น ประชาชนกำลังคอยเศคาริยาห์อยู่ รู้สึกประหลาดใจที่เขาอยู่ในพระวิหารนาน
(22) เมื่อเขาออกมาและพูดไม่ได้ ประชาชนจึงเข้าใจว่าเขาเห็นนิมิตในพระวิหารเขาทำได้เพียงแสดงท่าทางแต่พูดไม่ได้
(23) เมื่อหมดวาระทำหน้าที่ในพระวิหารแล้ว เศคาริยาห์ก็กลับไปบ้าน
(24) ต่อมาไม่นานนางเอลีซาเบธภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ นางเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลาห้าเดือน
(25) นางกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพื่อข้าพเจ้าบัดนี้พระองค์พอพระทัยช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความอับอายที่ข้าพเจ้ามีต่อหน้าคนทั้งหลายแล้ว”
ลก 1:26-38 ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูเจ้า
(26) เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้วพระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ
(27) มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด
หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์
(28) ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน
พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน”
(29) เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า
คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร
(30) แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน
(31) ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู
(32) เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์
พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา
(33) เขาจะปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุดเลย”
(34) พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี”
(35) ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่านเพราะฉะนั้น
บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า
(36) ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้ง ๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใคร
ๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว
(37) เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”
(38) พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”
แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป
ลก 1:39-45 พระนางมารีย์เสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธ
(39) หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย
(40) พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ
(41) เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้นนางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม
(42) ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย
(43) ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า
(44) เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี
(45) เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
ลก 1:46-56 บทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์
(46) พระนางมารีย์ ตรัสว่า วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
(47) จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้กอบกู้ข้าพเจ้า
(48) เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข
(49) พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์
(50) พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย
(51) พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป
(52) ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น
(53) พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า
(54) พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา
(55) ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป
(56) พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ
ลก 1:57-58 การเกิดของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
(57) เมื่อครบกำหนดคลอด นางเอลีซาเบธให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
(58) เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าพระเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง
ลก 1:59-66 ยอห์นผู้ทำพิธีล้างเข้าสุหนัต
(59) เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำพิธีสุหนัตให้เขาต้องการเรียกเด็กว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา
(60) แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น”
(61) คนเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า “ท่านไม่มีญาติคนใดมีชื่อนี้”
(62) เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร
(63) เศคาริยาห์ขอกระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ
(64) ทันใดนั้นเศคาริยาห์ก็กลับพูดได้อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า
(65) เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่วแถบภูเขาของแคว้นยูเดีย
(66) ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร”
เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขา
ลก 1:67-79 บทถวายพระพรของเศคาริยาห์
(67) เศคาริยาห์ ผู้เป็นบิดาได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม จึงกล่าวพยากรณ์ดังนี้
(68) ขอถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะพระองค์เสด็จเยี่ยมและทรงกอบกู้ประชากรของพระองค์
(69) พระองค์ทรงปลุกพระผู้กอบกู้ผู้ทรงอำนาจขึ้นมา จากราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด
ผู้รับใช้พระองค์
(70) ตามที่ทรงสัญญาไว้ โดยปากของบรรดาประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่โบราณกาล
(71) ว่าจะให้เรารอดพ้นจากศัตรู จากเงื้อมมือของผู้ที่เกลียดชังเรา
(72) ทรงสัญญาว่าจะทรงแสดงพระกรุณาแก่บรรพบุรุษของเรา ทรงระลึกถึงพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
(73) และคำปฏิญาณที่ทรงให้ไว้แก่อับราฮัม บรรพบุรุษของเรา
(74) ว่าจะทรงช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู เพื่อรับใช้พระองค์โดยปราศจากความหวาดกลัวใด
ๆ
(75) ให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรม เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ตลอดชีวิตของเรา
(76) ส่วนเจ้า ทารกเอ๋ย เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นประกาศกของพระผู้สูงสุด เจ้าจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อเตรียมทางสำหรับพระองค์
(77) เพื่อให้ประชากรของพระองค์รู้ว่า เขาจะรอดพ้น เพราะบาปของเขาได้รับการอภัย
(78) เดชะพระเมตตากรุณาของพระเจ้าของเรา พระองค์จะเสด็จมาเยี่ยมเราจากเบื้องบน
ดังแสงอรุโณทัย
(79) ส่องแสงสว่างให้ทุกคนที่อยู่ในความมืดและในเงาแห่งความตาย เพื่อจะนำเท้าของเราให้ดำเนิน
ไปตามทางแห่งสันติสุข
ลก 1:80 ชีวิตซ่อนเร้นของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
(80) เด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขาแสดงตนแก่ประชากรอิสราเอล
การประสูติของพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงเข้าสุหนัต
การถวายพระกุมารในพระวิหาร
บทเพลงของสิเมโอน
สิเมโอนกล่าวทำนาย
อันนา ประกาศกหญิง
พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัยที่เมืองนาซาเร็ธ
พระเยซูเจ้าในหมู่ธรรมาจารย์
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปประทับที่เมืองนาซาเร็ธ
ลก 2:1-20 การประสูติของพระเยซูเจ้า
(1) ครั้งนั้น พระจักรพรรดิออกัสตัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิโรมัน
(2) การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกนี้มีขึ้นเมื่อคีรินีอัสเป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย
(3) ทุกคนต่างไปลงทะเบียนในเมืองของตน
(4) โยเซฟออกเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีไปยังเมืองของกษัตริย์ดาวิดชื่อเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย
เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด
(5) ท่านไปลงทะเบียนพร้อมกับพระนางมารีย์ ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์
(6) ขณะที่อยู่ที่นั่น ก็ถึงกำหนดเวลาที่พระนางมารีย์จะมีพระประสูติกาล
(7) พระนางประสูติพระโอรสองค์แรกทรงใช้ผ้าพันพระวรกายพระกุมารนั้น แล้วทรงวางไว้ในรางหญ้า
เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรมเลย
(8) ในบริเวณนั้นมีคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งอยู่กลางแจ้ง กำลังเฝ้าฝูงแกะในยามกลางคืน
(9) ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าปรากฏองค์ต่อหน้าเขา และพระสิริของพระเจ้าก็ส่องแสงรอบตัวเขา
คนเลี้ยงแกะมีความกลัวอย่างยิ่ง
(10) แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่านทั้งหลาย
เป็นข่าวดีที่จะทำให้ประชาชนทุกคนยินดีอย่างยิ่ง
(11) วันนี้ ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด พระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว พระองค์คือพระคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้า
(12) ท่านจะรู้จักพระองค์ได้จากเครื่องหมายนี้ ท่านจะพบกุมารคนหนึ่ง มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า”
(13) ทันใดนั้น ทูตสวรรค์อีกจำนวนมากปรากฏมาสมทบกับทูตสวรรค์องค์นั้น ร้องสรรเสริญพระเจ้าว่า
(14) พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุด และบนแผ่นดิน สันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน
(15) เมื่อบรรดาทูตสวรรค์จากเขากลับสู่สวรรค์แล้ว คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นจึงพูดกันว่า
“เราจงไปเมืองเบธเลเฮมกันเถิด จะได้เห็นเหตุการณ์นี้ที่พระเจ้าทรงแจ้งให้เรารู้”
(16) เขาจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่งบรรทมอยู่ในรางหญ้า
(17) เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร
(18) ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง
(19) ส่วนพระนางมารีย์ทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงคำนึงถึงอยู่
(20) คนเลี้ยงแกะกลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น
ตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้
ลก 2:21-21 พระเยซูเจ้าทรงเข้าสุหนัต
(21) เมื่อครบกำหนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนามพระองค์ว่าเยซู เป็นพระนามที่ทูตสวรรค์ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิ์ในพระครรภ์ของพระมารดา
ลก 2:22-28 การถวายพระกุมารในพระวิหาร
(22) เมื่อครบกำหนดเวลาที่มารดาและบุตรจะต้องทำพิธีชำระมลทินตามธรรมบัญญัติของโมเสส
โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่พระเจ้า
(23) มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของพระเจ้าว่า จะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่พระเจ้า
(24) และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่หรือนกพิราบสองตัวตามที่มีกำหนดไว้ในธรรมบัญญัติของพระเจ้า
(25) เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า
เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตอยู่กับเขา
(26) และทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ของพระเจ้า
(27) พระจิตเจ้าทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารเข้ามาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้
(28) สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า
ลก 2:29-32 บทเพลงของสิเมโอน
(29) ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุขตามพระดำรัสของพระองค์
(30) เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น
(31) ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ
(32) เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์
ลก 2:33-35 สิเมโอนกล่าวทำนาย
(33) โยเซฟประหลาดใจในถ้อยคำที่กล่าวถึงพระกุมาร พระนางมารีย์ก็ทรงรู้สึกเช่นเดียวกัน
(34) สิเมโอนอวยพรท่านทั้งสองและกล่าวแก่พระนางมารีย์ พระมารดาว่า“พระเจ้าทรงกำหนดให้กุมารนี้เป็นเหตุให้คนจำนวนมากในอิสราเอลต้องล้มลง
หรือลุกขึ้น และเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อต้าน
(35) เพื่อความในใจของคนจำนวนมากจะถูกเปิดเผย” ส่วนท่าน ดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่าน
ลก 2:36-38 อันนา ประกาศกหญิง
(36) ประกาศกหญิงคนหนึ่งชื่ออันนา เป็นบุตรหญิงของฟานูเอลจากเผ่าอาเชอร์ นางชรามากแล้ว
แต่งงานตั้งแต่ยังสาว อยู่กับสามีเจ็ดปี
(37) หลังจากนั้นก็เป็นม่าย เวลานี้อายุแปดสิบสี่ปีไม่ได้ออกจากพระวิหารเลยอยู่รับใช้พระเจ้าทั้งกลางวันกลางคืนโดยจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนา
(38) นางเข้ามาในเวลานั้นพอดีขอบพระคุณพระเจ้าและกล่าวถึงพระกุมารให้ทุกคนที่กำลังรอคอยการไถ่กู้กรุงเยรูซาเล็มฟัง
ลก 2:39-40 พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัยที่เมืองนาซาเร็ธ
(39) เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติของพระเจ้ากำหนดไว้สำเร็จทุกประการแล้ว
ก็กลับไปที่นาซาเร็ธ เมืองของตนในแคว้นกาลิลี
(40) พระกุมารทรงเจริญวัยแข็งแรงขึ้น ทรงพระปรีชาญาณอย่างสมบูรณ์ และพระหรรษทานของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์
ลก 2:41-50 พระเยซูเจ้าในหมู่ธรรมาจารย์
(41) โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี
(42) เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น
(43) เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้
(44) เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว
โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก
(45) เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น
(46) ในวันที่สามโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ในหมู่อาจารย์
ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา
(47) ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำถาม
(48) เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า
“ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำกับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก”
(49) พระองค์ตรัสตอบว่า“พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก”
(50) โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส
ลก 2:51-52 พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปประทับที่เมืองนาซาเร็ธ
(51) พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง
พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย
(52) พระเยซูเจ้าทรงเจริญขึ้นทั้งในพระปรีชาญาณ พระชนมายุ และพระหรรษทานเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์
IIเหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
คำประกาศของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
ยอห์นถูกจองจำ
พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
บรรพบุรุษของพระเยซูเจ้า
II เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
ลก 3:1-18 คำประกาศของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
3(1) ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิทิเบรีอัส ปอนทิอัสปีลาตเป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย
กษัตริย์เฮโรดทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี ฟีลิปพระอนุชาทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส
ลีซาเนียเป็นเจ้าปกครองแคว้นอาบีเลน
(2) อันนาสและคายาฟาสเป็นหัวหน้าสมณะ พระวาจาของพระเจ้ามาถึงยอห์นบุตรของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร
(3) เขาจึงไปทั่วแม่น้ำจอร์แดน เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป
(4) ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบันทึกของประกาศกอิสยาห์ว่า “คนคนหนึ่งร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่า
จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด
(5) หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลง ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง
ทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ
(6) แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า”
(7) ดังนั้น ยอห์นพูดกับประชาชนที่มารับพิธีล้างจากเขาว่า “สัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำท่านให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง
(8) จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด และอย่ามาอ้างว่า “เรามีอับราฮัมเป็นบิดา”
ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้
(9) บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่ออกผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ”
(10) เมื่อประชาชนถามยอห์นว่า “เราจะต้องทำอะไร”
(11) เขาก็ตอบว่า “ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้กับคนที่ไม่มี คนที่มีอาหาร
ก็จงทำเช่นเดียวกัน”
(12) คนเก็บภาษีมาหายอห์นเพื่อรับพิธีล้างด้วย และถามเขาว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องทำสิ่งใด”
(13) ยอห์นตอบว่า “ท่านอย่าเรียกเก็บภาษีเกินพิกัด”
(14) พวกทหารถามเขาด้วยว่า “แล้วพวกเราเล่า เราจะต้องทำสิ่งใด” เขาตอบว่า “อย่าขู่กรรโชก
อย่ากล่าวหาเป็นความเท็จเพื่อเอาเงิน จงพอใจกับค่าจ้างของตน”
(15) ขณะนั้น ประชาชนกำลังรอคอย ทุกคนต่างคิดในใจว่า ยอห์นเป็นพระคริสต์หรือ
(16) ยอห์นจึงประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลายแต่ผู้ที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา
และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและด้วยไฟ
(17) เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ”
(18) ยอห์นยังใช้ถ้อยคำอื่นอีกมากตักเตือนและประกาศข่าวดีแก่ประชาชน
ลก 3:19-20 ยอห์นถูกจองจำ
(19) กษัตริย์เฮโรด เจ้าผู้ปกครอง ถูกยอห์นตำหนิเรื่องนางเฮโรเดียสภรรยาของน้องชาย
และเรื่องความผิดอื่น ๆ ที่ทรงกระทำ
(20) กษัตริย์เฮโรดยังทรงเพิ่มความผิดอีก คือทรงสั่งให้จองจำยอห์นในคุก
ลก 3:21-22 พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
(21) ขณะนั้นประชาชนทั้งหมดกำลังรับพิธีล้าง พระเยซูเจ้าก็ทรงรับพิธีล้างด้วย
และขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น ท้องฟ้าก็เปิดออก
(22) และพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ มีรูปร่างที่เห็นได้ดุจนกพิราบ แล้วมีเสียงจากสวรรค์ว่า
“ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”
ลก 3:23-38 บรรพบุรุษของพระเยซูเจ้า
(23) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอนนั้น มีพระชนมายุราวสามสิบพรรษาคนทั่วไปคิดว่า
พระองค์ทรงเป็นบุตรของโยเซฟผู้เป็นบุตรของเฮลี
(24) ซึ่งเป็นบุตรของมัทธัต บุตรของเลวี บุตรของเมลคี บุตรของยันนาย บุตรของโยเซฟ
(25) บุตรของมัทธาธีอัส บุตรของอาโมส บุตรของนาฮูม บุตรของเอสลี บุตรของนักกาย
(26) บุตรของมาอาท บุตรของมัทธาธีอัส บุตรของเสเมอิน บุตรของโยเสค บุตรของโยดา
(27) บุตรของโยอานัน บุตรของเรซา บุตรของเศรุบบาเบล บุตรของเชอัลทิเอล บุตรของเนรี
(28) บุตรของเมลคี บุตรของอัดดี บุตรของโคสัม บุตรของเอลมาดัม บุตรของเอร์
(29) บุตรของเยซู บุตรของเอลีเยเซอร์ บุตรของโยริม บุตรของมัทธัต บุตรของเลวี
(30) บุตรของสิเมโอน บุตรของยูดาห์ บุตรของโยเซฟ บุตรของโยนาม บุตรของเอลียาคิม
(31) บุตรของเมเลอา บุตรของเมนนา บุตรของมัทตะธา บุตรของนาธัน บุตรของดาวิด
(32) บุตรของเจสซี บุตรของโอเบด บุตรของโบอาส บุตรของสาลา บุตรของนาโชน
(33) บุตรของอัมมีนาดับ บุตรของอัดมิน บุตรของอารนี
(34) บุตรของเฮสโรน บุตรของเปเรศ บุตรของยูดาห์
(35) บุตรของยาโคบ บุตรของอิสอัค บุตรของอับราฮัม บุตรของเทราห์ บุตรของนาโฮร์
บุตรของเสรุก บุตรของเรอู บุตรของเปเลก บุตรของเอเบอร์ บุตรของเชลาห์
(36) บุตรของไคนาน บุตรของอารฟาซัด บุตรของเชม บุตรของโนอาห์ บุตรของลาเมค
(37) บุตรของเมธูเสลาห์ บุตรของเอโนค บุตรของยาเรด บุตรของมาหะลาเลเอลบุตรของไคนาน
(38) บุตรของเอโนส บุตรของเสท บุตรของอาดัม บุตรของพระเจ้า
ปีศาจผจญพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดาร
พระเยซูเจ้าทรงประกอบพระภารกิจในแคว้นกาลิลี
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศน์สอน
พระเยซูเจ้าที่เมืองนาซาเร็ธ
พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนที่เมืองคาเปอรนาอุม
ทรงรักษาคนถูกปีศาจสิง
พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก
พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองคาเปอรนาอุม
ลก 4:1-13 ปีศาจผจญพระเยซูเจ้าในถิ่นทุรกันดาร
4(1) พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมทรงพระดำเนินจากแม่น้ำจอร์แดน
พระจิตเจ้าทรงนำพระองค์ไปยังถิ่นทุรกันดาร
(2) ทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลาสี่สิบวัน ตลอดเวลานั้นพระองค์มิได้เสวยสิ่งใดเลย ในที่สุด
ทรงหิว
(3) ปีศาจจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้า จงสั่งให้หินก้อนนี้กลายเป็นขนมปังเถิด”
(4) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่ามนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น”
(5) ปีศาจจึงนำพระองค์ไปยังที่สูงแห่งหนึ่ง แสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรต่าง
ๆ ของโลกทั้งหมดในคราวเดียว
(6) และทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะให้อำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแก่ท่าน
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนา
(7) ดังนั้น ถ้าท่านกราบนมัสการข้าพเจ้า ทุกสิ่งจะเป็นของท่าน”
(8) พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าของท่าน และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น’”
(9) ปีศาจนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปเบื้องล่างเถิด
(10) เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งทูตสวรรค์ให้พิทักษ์รักษาท่าน’
และยังมีเขียนอีกว่า
(11) ‘ทูตสวรรค์จะคอยพยุงท่านไว้มิให้เท้ากระทบหิน’”
(12) แต่พระเยซูเจ้าตรัสตอบปีศาจว่า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าของท่านเลย”
(13) เมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้ว จึงแยกจากพระองค์ไป รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
III พระเยซูเจ้าทรงประกอบพระภารกิจในแคว้นกาลิลี
ลก 4:14-15 พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศน์สอน
(14) พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปแคว้นกาลิลีพร้อมด้วยพระอานุภาพของพระจิตเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นนั้น
(15) พระองค์ทรงสอนตามศาลาธรรมของชาวยิวและทุกคนต่างสรรเสริญพระองค์
ลก 4:16-30 พระเยซูเจ้าที่เมืองนาซาเร็ธ
(16) พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเจริญวัย
ในวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรมเช่นเคย ทรงยืนขึ้นเพื่อทรงอ่านพระคัมภีร์
(17) มีผู้ส่งม้วนหนังสือประกาศกอิสยาห์ให้พระองค์ พระเยซูเจ้าทรงคลี่ม้วนหนังสือออก
ทรงพบข้อความที่เขียนไว้ว่า
(18) พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ
(19) ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า
(20) แล้วพระเยซูเจ้าทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้เจ้าหน้าที่และประทับนั่งลงสายตาของทุกคนที่อยู่ในศาลาธรรมต่างจ้องมองพระองค์
(21) พระองค์จึงทรงเริ่มตรัสว่า “ในวันนี้ ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ท่านได้ยินกับหูอยู่นี้เป็นความจริงแล้ว”
(22) ทุกคนสรรเสริญพระองค์และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส เขากล่าวกันว่า
“นี่เป็นลูกของโยเซฟมิใช่หรือ”
(23) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านคงจะกล่าวคำพังเพยนี้แก่เราเป็นแน่ว่า “หมอเอ๋ย
จงรักษาตนเองเถิด สิ่งที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมนั้นท่านจงทำที่นี่ในบ้านเมืองของท่านด้วยเถิด”
(24) แล้วพระองค์ยังทรงเสริมอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน”
(25) เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน
และเกิดความอดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล
(26) แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไปหาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน
(27) ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคนโรคเรื้อนหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายจากโรค
นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านั้น”
(28) เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก
(29) จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่
ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป
(30) แต่พระองค์ทรงดำเนินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้น แล้วเสด็จจากไป
ลก 4:31-37 พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนที่เมืองคาเปอรนาอุม ทรงรักษาคนถูกปีศาจสิง
(31) พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม เมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนประชาชนในวันสับบาโต
(32) คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังประทับใจอย่างมาก เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงไว้ซึ่งอำนาจ
(33) ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งถูกจิตของปีศาจร้ายสิง ร้องตะโกนเสียงดังว่า
(34) ”ท่านมายุ่งกับพวกเราทำไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายพวกเราใช่ไหม ฉันรู้ว่าท่านเป็นใคร
ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
(35) พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและทรงสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” ปีศาจผลักชายนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคน
แล้วออกไปจากเขาโดยมิได้ทำร้ายแต่ประการใด
(36) ทุกคนต่างประหลาดใจมากและถามกันว่า“วาจานี้คือสิ่งใด จึงมีอำนาจและอานุภาพบังคับปีศาจร้าย
และมันก็ออกไป”
(37) กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปทั่วทุกแห่งในบริเวณนั้น
ลก 4:38-39 พระเยซูเจ้าทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน
(38) พระเยซูเจ้าเสด็จจากศาลาธรรมเข้าไปในบ้านของซีโมน มารดาของภรรยาซีโมนกำลังป่วยเป็นไข้หนัก
คนที่อยู่ที่นั่นอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วยนาง
(39) พระองค์จึงทรงก้มลงเหนือนางและบังคับไข้ นางก็หายไข้ ลุกขึ้นมารับใช้ทุกคนทันที
ลก 4:40-41 พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก
(40) เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้ที่มีคนเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ นำผู้เจ็บป่วยเหล่านั้นมาเฝ้าพระองค์
พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือผู้ป่วยแต่ละคนและทรงรักษาเขาให้หายจากโรค
(41) ปีศาจออกจากคนจำนวนมาก พลางร้องตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงสั่งไม่ให้ปีศาจพูด
เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า
ลก 4:42-44 พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากเมืองคาเปอรนาอุม
(42) เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จนพบ
แล้วหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป
(43) แต่พระองค์ตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย
เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้”
(44) พระองค์จึงทรงเทศน์สอนตามศาลาธรรมแห่งแคว้นยูเดีย
พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนแรก
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต
พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี
พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาปในบ้านของเลวี
การโต้เถียงเรื่องจำศีลอดอาหาร
ลก 5:1-11 พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สี่คนแรก
5(1) วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท
ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า
(2) พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ
(3) พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย
แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น
(4) เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด”
(5) ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย
แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน”
(6) เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด
(7) เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำ
จนเรือเกือบจม
(8) เมื่อซีโมนเปโตรเห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด
พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”
(9) เพราะเขาและคนอื่น ๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น
(10) ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมนก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน
พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์”
(11) เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์
ลก 5:12-16 พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน
(12) วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ในเมืองหนึ่ง ชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อนเต็มตัว
เมื่อเห็นพระองค์ ก็กราบพระบาทอ้อนวอนว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้”
(13) พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด”
(14) พระองค์ทรงกำชับเขามิให้บอกผู้ใด แต่ “จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด
เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว”
(15) ข่าวเกี่ยวกับพระองค์กลับกระจายออกไปมากขึ้น ประชาชนจำนวนมากต่างมาฟังพระองค์และรับการรักษาโรค
(16) แต่พระองค์เสด็จไปยังที่สงัดและทรงอธิษฐานภาวนา
ลก 5:17-26 พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต
(17) วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังทรงสั่งสอน บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายซึ่งมาจากทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลีและจากกรุงเยรูซาเล็มนั่งอยู่ที่นั่นด้วย
พระเจ้าประทานพระอานุภาพให้พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคได้
(18) ขณะนั้น มีผู้หามคนอัมพาตนอนบนแคร่เข้ามา พยายามหาช่องนำคนอัมพาตมาวางไว้เฉพาะพระพักตร์
(19) แต่เมื่อหาช่องนำคนอัมพาตเข้ามาไม่ได้เพราะมีคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนหลังคาแล้วหย่อนคนอัมพาตนั้นพร้อมทั้งที่นอนลงมาตามช่องกระเบื้องตรงกลางห้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูเจ้า
(20) เมื่อพระองค์ทรงเห็นความเชื่อของเขาเหล่านั้น จึงตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”
(21) บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคิดว่า “คนนี้เป็นใครกัน จึงกล่าวดูหมิ่นพระเจ้าใครเล่าอภัยบาปได้
นอกจากพระเจ้าเท่านั้น”
(22) พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไม
(23) อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า “บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”หรือบอกว่า “ลุกขึ้นเดินไปเถิด”
(24) แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่าบุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้ พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า
“เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับไปบ้านเถิด”
(25) ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง แบกแคร่ที่ตนนอนอยู่กลับไปบ้านพลางสรรเสริญพระเจ้า
(26) ทุกคนต่างประหลาดใจถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและมีความกลัวมาก พูดกันว่า “วันนี้
เราได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง”
ลก 5:27-28 พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี
(27) หลังจากนั้น พระองค์เสด็จออกไป ทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี
จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด”
(28) เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่งแล้วตามพระองค์ไป
ลก 5:29-32 พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาปในบ้านของเลวี
(29) เลวีจัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ คนเก็บภาษีและคนอื่น
ๆ จำนวนมากมาร่วมโต๊ะด้วย
(30) บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่านั้นกล่าวด้วยความไม่พอใจกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า
“ทำไมท่านทั้งหลายจึงกินอาหารและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า”
(31) พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ
(32) เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ”
ลก 5:33-39 การโต้เถียงเรื่องจำศีลอดอาหาร
(33) มีผู้ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ศิษย์ของยอห์นจำศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาบ่อย ๆ
ศิษย์ของชาวฟาริสีก็ทำเช่นเดียวกัน ส่วนศิษย์ของท่านกินและดื่ม”
(34) พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะให้ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย
(35) แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกแยกจากไป วันนั้นผู้รับเชิญจะจำศีลอดอาหาร”
(36) พระองค์ยังตรัสอุปมาให้เขาฟังอีกว่า “ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะเสื้อเก่า
เพราะเสื้อใหม่จะขาด และผ้าจากเสื้อใหม่จะไม่เข้ากับเสื้อเก่าอีกด้วย
(37) ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าใหม่จะทำให้ถุงหนังขาด
เหล้าจะรั่ว และถุงหนังก็จะเสีย
(38) แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่
(39) ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วอยากดื่มเหล้าใหม่ เพราะเขาย่อมกล่าวว่า
“เหล้าเก่านั้นดีกว่า’”
บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต
พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ
พระเยซูเจ้าทรงเลือกสาวกสิบสองคน
ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
ธรรมเทศนาบทแรกความสุขแท้จริงและคำสาปแช่ง
ความรักศัตรู
ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ความดีบริบูรณ์ ศิษย์ที่แท้จริง
ลก 6:1-5 บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต
6(1) วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี
บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวมาขยี้กิน
(2) ชาวฟาริสีบางคนจึงถามว่า “ทำไมท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า”
(3) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำอะไรเมื่อหิวโหย
(4) พระองค์เสด็จเข้าในพระนิเวศของพระเจ้า ทรงหยิบขนมปังที่ตั้งถวายมาเสวยและประทานแก่ผู้ติดตาม
ขนมปังนี้ใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น”
(5) แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “บุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”
ลก 6:6-11 พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ
(6) วันสับบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมและทรงสั่งสอนที่นั่น
มีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ
(7) บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคอยจ้องดูว่าพระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์
(8) แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสกับชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ”
เขาก็ลุกขึ้นยืน
(9) พระเยซูเจ้าตรัสกับคนทั้งหลายว่า “เราถามท่านว่า ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดี
หรือทำความชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต”
(10) แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเขาทุกคนและตรัสกับชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือออกซิ”
เขาก็ทำตามและมือของเขาก็หายเป็นปกติ
(11) บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีรู้สึกโกรธแค้นมากจึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูเจ้า
ลก 6:12-16 พระเยซูเจ้าทรงเลือกสาวกสิบสองคน
(12) ครั้งนั้นพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน
(13) ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน
ประทานนามว่า “อัครสาวก”
(14) คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟิลิป บาร์โธโลมิว
(15) มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ”
(16) ยูดาส บุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ
ลก 6:17-19 ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า
(17) พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม
จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล
(18) มาฟังพระองค์และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับการรักษาด้วย
(19) ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์ รักษาทุกคนให้หาย
ลก 6:20-26 ธรรมเทศนาบทแรกความสุขแท้จริงและคำสาปแช่ง
(20) พระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ตรัสว่า ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
(21) ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข เพราะท่านจะอิ่ม ท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข
เพราะท่านจะหัวเราะ
(22) ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่านรังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์
(23) จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์
บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว
(24) วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว
(25) วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้ เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้
(26) วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่าน เพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยกระทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว
ลก 6:27-35 ความรักศัตรู
(27) "แต่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน
(28) จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน
(29) ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป
จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย
(30) จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป
(31) ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด
(32) ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย
(33) ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย
(34) ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน
(35) แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนแล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง
ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย
ลก 6:36-38 ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
(36) จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด
(37) อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน
(38) จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้นเพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา
พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”
ลก 6:39-45 ความดีบริบูรณ์
(39) พระเยซูเจ้ายังตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังอีกว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ
ทั้งคู่จะตกลงไปในคูมิใช่หรือ
(40) ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน
(41) ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย
(42) ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า “พี่น้อง ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด”
ขณะที่ท่านไม่เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด
ท่านจะเห็นชัดแล้วจึงค่อยไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง
(43) ต้นไม้ที่เกิดผลไม่ดีย่อมไม่ใช่ต้นไม้พันธุ์ดี หรือต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมไม่ให้ผลดีเช่นกัน
(44) เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น เราย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม
หรือเก็บผลองุ่นจากกอหนาม
(45) คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งที่เลวออกมาจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน
เพราะปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
ลก 6:46-49 ศิษย์ที่แท้จริง
(46) ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า และไม่ปฏิบัติตามที่เราบอกเล่า
(47) ทุกคนที่มาหาเราย่อมฟังคำของเราและนำไปปฏิบัติ เราจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า
เขาเปรียบเสมือนผู้ใด
(48) เขาเปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้าน เขาขุดหลุม ขุดลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน
เมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะบ้านหลังนั้น แต่ทำให้บ้านนั้นสั่นคลอนไม่ได้
เพราะบ้านหลังนั้นสร้างไว้อย่างดี
(49) แต่ผู้ที่ฟังและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่มีรากฐาน
เมื่อน้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลายลงทันที และเสียหายมาก
พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย
พระเยซูเจ้าทรงปลุกบุตรของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ
คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
พระเยซูเจ้าทรงยกย่องยอห์น
พระเยซูเจ้าทรงประณามคนร่วมสมัย
หญิงคนบาป
ลก 7:1-10 พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้รับใช้ของนายร้อย
7(1) เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจบแล้ว
พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม
(2) ผู้รับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้จะตาย นายรักเขามาก
(3) เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า จึงส่งผู้อาวุโสบางคนของชาวยิวมาอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปช่วยชีวิตของผู้รับใช้
(4) คนเหล่านั้นมาเฝ้าพระเยซูเจ้า อ้อนวอนรบเร้าพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรที่ท่านจะช่วยเหลือ
(5) เพราะเขารักชนชาติของเราและได้สร้างศาลาธรรมให้เรา”
(6) พระเยซูเจ้าจึงเสด็จไปกับคนเหล่านั้น เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้าน นายร้อยใช้เพื่อนบางคนไปทูลพระองค์ว่า
“พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากไปเลย ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า
(7) เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเอื้อมที่จะออกมาพบกับพระองค์แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียว
ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค
(8) ข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าบอกคนหนึ่งว่า
“ไป”เขาก็ไป บอกอีกคนหนึ่งว่า “มา” เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกผู้รับใช้ว่า “ทำสิ่งนี้”
เขาก็ทำ’
(9) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทรงประหลาดพระทัยทรงหันพระพักตร์ไปยังประชาชนที่ติดตามพระองค์ตรัสว่า
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย”
(10) เมื่อเพื่อนที่ถูกใช้มากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าผู้รับใช้ผู้นั้นหายเป็นปกติแล้ว
ลก 7:11-17 พระเยซูเจ้าทรงปลุกบุตรของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ
(11) หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่เมืองหนึ่งชื่อนาอิน บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป
(12) เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ประตูเมืองก็ทรงเห็นคนหามศพออกมา ผู้ตายเป็นบุตรคนเดียวของมารดาซึ่งเป็นม่าย
ชาวเมืองกลุ่มใหญ่มาพร้อมกับนางด้วย
(13) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนางก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย”
(14) แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า
“หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด”
(15) คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูด พระเยซูเจ้าจึงทรงมอบเขาให้แก่มารดา
(16) ทุกคนต่างมีความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า กล่าวว่า “ประกาศกยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหมู่เรา
พระเจ้าได้เสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์”
(17) และข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วอาณาบริเวณนั้น
ลก 7:18-30 คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง พระเยซูเจ้าทรงยกย่องยอห์น
(18) บรรดาศิษย์ของยอห์นแจ้งข่าวเรื่องทั้งหมดนี้ให้เขาทราบ ยอห์นจึงเรียกศิษย์มาสองคน
(19) แล้วส่งไปเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทูลถามว่า “ท่านคือผู้ที่จะต้องมาหรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก”
(20) เมื่อคนทั้งสองมาพบพระองค์แล้วจึงกล่าวว่า ‘ยอห์นผู้ทำพิธีล้างส่งเรามาถามท่านว่า
“ท่านคือผู้ที่จะต้องมา หรือเราจะต้องรอคอยผู้อื่นอีก’”
(21) ขณะนั้น พระเยซูเจ้ากำลังทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรค จากความทุกข์ทรมานและจากปีศาจร้าย
ทั้งทรงทำให้คนตาบอดหลายคนกลับมองเห็นได้
(22) พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองของยอห์นว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน
คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ
คนจนได้ฟังข่าวดี
(23) ผู้ที่ไม่เคลือบแคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”
(24) เมื่อผู้ที่ยอห์นส่งมาจากไปแล้ว พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า
(25) ”ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปตามลมหรือ ไม่ใช่ แล้วท่านไปดูอะไรเล่า
ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามและกินดื่มอย่างฟุ่มเฟือยนั้นมีอยู่เฉพาะในพระราชวัง
(26) ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ ถูกแล้ว เราบอกท่าน ไปดูยิ่งกว่าประกาศกอีก
(27) ผู้นี้แหละพระคัมภีร์กล่าวถึงว่า เราส่งทูตของเรานำหน้าท่าน เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
(28) ”เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าในบรรดาผู้ที่เกิดจากสตรี ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีกแล้ว
กระนั้นก็ดี ผู้ต่ำต้อยที่สุดในพระอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น”
(29) ประชาชนทั้งหลายที่ได้ฟังและบรรดาคนเก็บภาษีได้รับพิธีล้างจากยอห์นและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเที่ยงธรรม
(30) แต่บรรดาชาวฟาริสีและนักกฎหมายไม่ยอมรับพิธีล้างจากยอห์น จึงต่อต้านแผนการของพระเจ้าสำหรับตน
ลก 7:31-35 พระเยซูเจ้าทรงประณามคนร่วมสมัย
(31) ”เราจะเปรียบคนยุคนี้กับสิ่งใดดี เขาเหมือนกับสิ่งใด
(32) เขาเป็นเสมือนเด็ก ๆ ที่นั่งตามลานสาธารณะ ร้องบอกเพื่อน ๆ ว่า เราเป่าขลุ่ย
เจ้าก็ไม่เต้นรำ เราร้องเพลงโศกเศร้า เจ้าก็ไม่ร้องไห้
(33) ยอห์นผู้ทำพิธีล้างมา ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มเหล้าองุ่น ท่านก็ว่า “คนนี้มีปีศาจสิง”
(34) บุตรแห่งมนุษย์มา กินและดื่ม ท่านก็ว่า“ดูซิ นักกินนักดื่ม เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป”
(35) พระปรีชาญาณของพระเจ้าผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยผู้ปฏิบัติตามพระปรีชาญาณนั้น”
ลก 7:36-50 หญิงคนบาป
(36) ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารกับเขา พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของชาวฟาริสีนั้นและประทับที่โต๊ะ
(37) ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสีผู้นั้น
จึงถือขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอมเข้ามาด้วย
(38) นางมาอยู่ด้านหลังของพระองค์ใกล้ ๆ พระบาท ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกพระบาท
นางใช้ผมเช็ดพระบาทจูบพระบาทและใช้น้ำมันหอมชโลมพระบาทนั้น
(39) ชาวฟาริสีที่ทูลเชิญพระองค์มาเห็นดังนี้ก็คิดในใจว่า “ถ้าผู้นี้เป็นประกาศก
เขาคงจะรู้ว่าหญิงที่กำลังแตะต้องเขาอยู่นี้เป็นใครและเป็นคนประเภทไหน นางเป็นคนบาป”
(40) พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน” เขาตอบว่า “เชิญพูดมาเถิด
อาจารย์”
(41) พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ
อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ
(42) ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ เจ้าหนี้จึงยกหนี้ให้ทั้งหมด ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน”
(43) ซีโมนตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้ให้มากกว่า”พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
“ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว”
(44) พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงผู้นี้ใช่ไหม
เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางได้หลั่งน้ำตารดเท้าของเราและใช้ผมเช็ดให้
(45) ท่านไม่ได้จูบคำนับเรา แต่นางจูบเท้าของเราตลอดเวลาตั้งแต่เราเข้ามา
(46) ท่านไม่ได้ใช้น้ำมันเจิมศีรษะให้เรา แต่นางใช้น้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา
(47) เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วเพราะนางมีความรักมากผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมมีความรักน้อย”
(48) แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
(49) บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า “คนนี้เป็นใคร จึงทำได้แม้แต่การอภัยบาป”
(50) พระองค์ตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
บรรดาสตรีผู้ติดตามพระเยซูเจ้า
อุปมาเรื่องผู้หว่าน
เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา
พระเยซูเจ้าทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน
อุปมาเรื่องตะเกียง
พระญาติแท้จริงของพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ
ชาวเกราซาที่ถูกปีศาจสิง
พระเยซูเจ้าทรงรักษาหญิงตกเลือด
ทรงปลุกบุตรหญิงของไยรัสให้คืนชีพ
ลก 8:1-3 บรรดาสตรีผู้ติดตามพระเยซูเจ้า
8(1) หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่าง
ๆ ทรงเทศน์สอนและประกาศข่าวดีถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า อัครสาวกสิบสองคนอยู่กับพระองค์
(2) รวมทั้งสตรีบางคนที่พระองค์ทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้าย และหายจากโรคภัย เช่น
มารีย์ ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ซึ่งปีศาจเจ็ดตนได้ออกไปจากนาง
(3) โยอันนาภรรยาของคูซาข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮโรด นางสุสันนา และคนอื่นอีกหลายคนหญิงเหล่านี้สละทรัพย์ของตนมาช่วยเหลือพระองค์และบรรดาอัครสาวก
ลก 8:4-8 อุปมาเรื่องผู้หว่าน
(4) ขณะนั้นประชาชนจำนวนมากเดินทางจากเมืองต่าง ๆ มาเฝ้าพระเยซูเจ้าและชุมนุมกัน
พระองค์จึงทรงกล่าวเป็นอุปมาว่า
(5) ”ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่กำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน
จึงถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศจิกกินจนหมด
(6) บางเมล็ดตกบนหินพองอกขึ้นมาก็เหี่ยวแห้งเพราะขาดความชุ่มชื้น
(7) บางเมล็ดตกกลางกอหนาม ต้นหนามที่งอกขึ้นพร้อมกันก็คลุมไว้จนตาย
(8) บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้นและเกิดผลร้อยเท่า” พระองค์ตรัสดังนี้แล้วทรงเปล่งเสียงดังว่า
“ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”
ลก 8:9-10 เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา
(9) บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์ว่า อุปมาเรื่องนี้มีความหมายว่าอย่างไร
(10) พระองค์จึงตรัสว่า “พระเจ้าโปรดให้ท่านรู้ธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างชัดเจน
แต่สำหรับคนอื่นพระองค์โปรดให้รู้เป็นอุปมาเท่านั้น เพื่อว่า เขาจะมองแล้วมองอีก
แต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังอีก แต่ไม่เข้าใจ
ลก 8:11-15 พระเยซูเจ้าทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน
(11) ”อุปมามีความหมายดังนี้ เมล็ดพืชคือพระวาจาของพระเจ้า
(12) เมล็ดที่ตกริมทางเดิน หมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา ต่อจากนั้น ปีศาจก็มาช่วงชิงพระวาจาออกไปจากใจของเขา
มิให้เขามีความเชื่อและรอดพ้น
(13) เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ฟังแล้วรับพระวาจาไว้ด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก
เขามีความเชื่ออยู่เพียงชั่วระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาถูกทดลอง เขาก็เลิกเชื่อ
(14) เมล็ดที่ตกในกอหนาม หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วปล่อยให้ความกังวลถึงทรัพย์สมบัติและความสนุกของชีวิตมาบีบรัดจึงไม่เกิดผล
(15) ส่วนเมล็ดที่ตกในที่ดินดีหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาด้วยใจดีเลิศ ยึดพระวาจาไว้ด้วยความพากเพียรจนเกิดผล
ลก 8:16-18 อุปมาเรื่องตะเกียง
(16) ”ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง
เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้
(17) ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีความลับใดจะไม่มีใครรู้และเปิดเผย
(18) ดังนั้น จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น
ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย”
ลก 8:19-21 พระญาติแท้จริงของพระเยซูเจ้า
(19) พระมารดาและพี่น้องของพระเยซูเจ้ามาเฝ้าพระองค์ แต่ไม่อาจเข้าถึงพระองค์ได้
เพราะมีประชาชนจำนวนมาก
(20) มีผู้ทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอก ต้องการพบท่าน”
(21) พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “มารดาและพี่น้องของเราคือผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ”
ลก 8:22-25 พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ
(22) วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือไปพร้อมกับบรรดาศิษย์แล้วตรัสกับเขาว่า “เราจงข้ามไปฝั่งทะเลสาบด้านโน้นกันเถิด”
เขาจึงออกเรือ
(23) ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังแล่นเรือ พระองค์บรรทมหลับ เกิดลมพายุขึ้นในทะเลสาบ
น้ำซัดเข้าเรือ คนในเรืออยู่ในอันตราย
(24) บรรดาศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระอาจารย์ พระอาจารย์พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว”
พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลมและคลื่นใหญ่ ลมและคลื่นก็สงบ ทะเลสาบก็สงบราบเรียบอีก
(25) พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ความเชื่อของท่านอยู่ที่ไหนเล่า” เขาเหล่านั้นต่างรู้สึกกลัวและประหลาดใจพูดกันว่า
“ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ จึงสั่งลมและคลื่นได้ ลมและคลื่นก็เชื่อฟัง”
ลก 8:26-39 ชาวเกราซาที่ถูกปีศาจสิง
(26) พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์แล่นเรือมาถึงดินแดนของชาวเกราซาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นกาลิลี
(27) ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาเฝ้าพระองค์ ชายผู้นี้ถูกปีศาจสิงเป็นเวลานาน
ไม่สวมเสื้อผ้า ไม่อยู่ในบ้าน แต่ไปอาศัยอยู่ตามหลุมศพ
(28) เมื่อเขาเห็นพระเยซูเจ้า เขาร้องตะโกน กราบพระบาท และกล่าวเสียงดังว่า“ข้าแต่พระเยซู
บุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าทำไม ข้าพเจ้าวอนขอท่านอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย”
(29) เขาพูดเช่นนี้ เพราะพระเยซูเจ้าสั่งให้ปีศาจร้ายออกจากชายผู้นั้น ปีศาจสิงเขาหลายครั้งแล้ว
เขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่และตรวน แต่เขาหักโซ่ตรวนและถูกปีศาจนำตัวออกไปในที่เปลี่ยว
(30) พระเยซูเจ้าทรงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร” ปีศาจตอบว่า “ชื่อกองพล” เพราะปีศาจจำนวนมากเข้าสิงในตัวเขา
(31) ปีศาจเหล่านั้นพร่ำวอนพระองค์มิให้ทรงสั่งมันให้ลงไปในขุมลึก
(32) หมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขาที่นั่น พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงอนุญาตเข้าไปสิงในหมูฝูงนั้น
พระองค์ก็ทรงอนุญาต
(33) พวกปีศาจจึงออกจากชายคนนั้น และเข้าไปสิงอยู่ในร่างหมู หมูฝูงนั้นต่างวิ่งกระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบและจมน้ำตายทั้งหมด
(34) เมื่อคนเลี้ยงหมูเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็วิ่งหนีไปเล่าเรื่องนี้ตามเมืองและตามชนบท
(35) ประชาชนออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อมาใกล้พระเยซูเจ้าก็พบคนที่เคยถูกปีศาจสิงกำลังนั่งอยู่แทบพระบาทของพระองค์สวมเสื้อผ้าและมีสติดี
เขาเหล่านั้นต่างมีความกลัว
(36) ผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าให้ประชาชนฟังว่าคนถูกปีศาจสิงหายจากโรคได้อย่างไร
(37) ประชาชนทั้งหมดในเขตแดนของชาวเกราซาจึงขอร้องพระองค์ให้เสด็จไปจากพวกเขา เพราะมีความกลัวมาก
พระเยซูเจ้าจึงเสด็จลงเรือกลับไป
(38) คนที่ปีศาจออกไปแล้วอ้อนวอนขออยู่กับพระองค์ พระองค์ทรงส่งเขากลับไปตรัสว่า
(39) ”จงกลับบ้าน และเล่าเรื่องที่พระเจ้าทรงกระทำแก่ท่านให้คนอื่นรู้เถิด” ชายคนนั้นจึงจากไปและประกาศทั่วเมืองว่าพระเยซูเจ้าทรงกระทำอย่างไรกับเขา
ลก 8:40-56 พระเยซูเจ้าทรงรักษาหญิงตกเลือด ทรงปลุกบุตรหญิงของไยรัสให้คืนชีพ
(40) เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา ประชาชนก็รับเสด็จพระองค์ เพราะทุกคนกำลังคอยพระองค์อยู่
(41) ขณะนั้น ชายคนหนึ่งชื่อไยรัสซึ่งเป็นหัวหน้าศาลาธรรมมาเฝ้า เขากราบพระบาทของพระเยซูเจ้า
อ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปยังบ้านของเขา
(42) เพราะเขามีบุตรหญิงคนเดียวอายุประมาณสิบสองขวบกำลังจะตาย ขณะที่ทรงพระดำเนินไป
ประชาชนเบียดเสียดพระองค์จนเกือบทรงพระดำเนินไม่ได้
(43) ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว ไม่มีผู้ใดรักษาให้หายได้
(44) นางมาด้านหลังพระองค์และสัมผัสชายฉลองพระองค์ ทันใดนั้นอาการตกเลือดก็หยุด
(45) พระเยซูเจ้าทรงถามว่า “ใครแตะต้องเรา” ทุกคนต่างปฏิเสธ เปโตรจึงตอบว่า “พระอาจารย์
ประชาชนกำลังรุมล้อมเบียดเสียดพระองค์”
(46) แต่พระเยซูเจ้าทรงย้ำว่า “มีคนแตะต้องเราเพราะมีพลังออกจากตัวเรา”
(47) เมื่อหญิงคนนั้นเห็นว่าจะซ่อนตัวต่อไปอีกไม่ได้ จึงเดินตัวสั่นออกมากราบลงเฉพาะพระพักตร์
ทูลต่อหน้าประชาชนว่าเหตุใดนางจึงแตะต้องพระองค์และหายจากโรคในทันทีได้อย่างไร
(48) พระองค์ตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
(49) ขณะที่ตรัสอยู่นั้น มีคนจากบ้านมาบอกหัวหน้าศาลาธรรมว่า “บุตรหญิงของท่านตายแล้ว
อย่ารบกวนพระอาจารย์อีกเลย”
(50) แต่พระเยซูเจ้าทรงได้ยินจึงตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิดและเด็กนั้นจะรอด”
(51) เมื่อเสด็จมาถึง พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดติดตามเข้าไปนอกจากเปโตร ยอห์น
ยากอบ และบิดามารดาของเด็ก
(52) ทุกคนกำลังร้องไห้คร่ำครวญถึงเด็กที่ตาย แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าร้องไห้เลย
เด็กไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น”
(53) คนเหล่านั้นหัวเราะเยาะพระองค์ เพราะรู้ว่าเด็กนั้นตายแล้ว
(54) พระองค์ทรงจับมือเด็กและตรัสเสียงดังว่า“หนูเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด”
(55) จิตของเด็กก็กลับมาและเด็กก็ลุกขึ้นทันที พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กนั้นกิน
(56) บิดามารดาของเด็กรู้สึกประหลาดใจ แต่พระองค์ทรงกำชับเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใดฟัง
พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน
กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้า
บรรดาอัครสาวกกลับมา
พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปัง
เปโตรประกาศความเชื่อ
พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งแรกเรื่องพระทรมาน
เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า
พระอาณาจักรจะมาถึงในไม่ช้า
พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์
คนถูกปีศาจสิง
พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สองเรื่องพระทรมาน
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
การใช้พระนามของพระเยซูเจ้า
ลก 9:1-5 พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน
9(1) พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามาพร้อมกัน
ประทานอำนาจเหนือปีศาจ และพลังรักษาโรค
(2) ทรงส่งเขาไปประกาศพระอาณาจักรพระเจ้าและรักษาโรค
(3) พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำสิ่งใดไปด้วย อย่านำ ไม้เท้า
ย่าม อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำรองไปด้วย
(4) เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเดินทางต่อไป
(5) ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานปรักปรำเขา”
บรรดาอัครสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้านประกาศข่าวดีและรักษาโรคไปทั่วทุกแห่ง
ลก 9:7-9 กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้า
(7) กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ทรงรู้สึกสับสน เพราะบางคนพูดว่ายอห์นได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย
(8) บางคนพูดว่าประกาศกเอลียาห์ได้ปรากฏแล้ว บางคนว่าประกาศกในอดีตคนหนึ่งได้กลับคืนชีพ
(9) แต่กษัตริย์เฮโรดตรัสว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว คนที่เราได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นใครเล่า”
กษัตริย์เฮโรดจึงทรงหาโอกาสจะพบพระองค์
ลก 9:10-17 บรรดาอัครสาวกกลับมา พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปัง
(10) เมื่อบรรดาอัครสาวกกลับมาแล้ว เขาทูลทุกสิ่งที่ได้กระทำแด่พระเยซูเจ้า พระองค์จึงทรงพาเขาไปด้วย
ทรงปลีกพระองค์ไปยังเมืองที่มีชื่อว่าเบธไซดา
(11) แต่ประชาชนรู้จึงติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสสอนเขาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า
ทรงรักษาคนที่ต้องการการบำบัดรักษา
(12) เมื่อจวนถึงเวลาเย็น อัครสาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนกลับไปเถิด
เขาจะได้ไปตามหมู่บ้านและชนบทโดยรอบเพื่อหาที่พักและอาหาร เพราะขณะนี้เราอยู่ในที่เปลี่ยว”
(13) พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรนอกจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวเท่านั้น
หรือว่าเราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งหมด”
(14) ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่ม
กลุ่มละประมาณห้าสิบคน”
(15) เขาก็ทำตามและให้ทุกคนนั่งลง
(16) พระเยซูเจ้าทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้าทรงกล่าวถวายพระพร
ทรงบิขนมปัง ส่งให้บรรดาศิษย์นำไปแจกจ่ายแก่ประชาชน
(17) ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองกระบุง
ลก 9:18-21 เปโตรประกาศความเชื่อ
(18) วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่เพียงพระองค์เดียว บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้า
พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร”
(19) เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นเอลียาห์ บ้างว่าเป็นประกาศกในอดีตคนหนึ่งซึ่งกลับคืนชีพ”
(20) พระเยซูเจ้าตรัสถามเขาว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ของพระเจ้า”
(21) พระองค์จึงทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้พูดเรื่องนี้แก่ผู้ใด
ลก 9:22-22 พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งแรกเรื่องพระทรมาน
(22) พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดา ผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”
ลก 9:23-26 เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า
(23) หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง
จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา
(24) ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา
ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้
(25) มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป
(26) ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเราและเพราะถ้อยคำของเรา บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขาเมื่อเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
ของพระบิดา และของบรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
ลก 9:27-27 พระอาณาจักรจะมาถึงในไม่ช้า
(27) ”เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า “บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า”
ลก 9:28-36 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์
(28) หลังจากพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้ประมาณแปดวัน พระองค์ทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบ
ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา
(29) ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น ลักษณะของพระพักตร์เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์มีสีขาวเจิดจ้า
(30) ทันใดนั้นบุรุษสองคนคือโมเสสและประกาศกเอลียาห์มาสนทนากับพระองค์
(31) ทั้งสองคนปรากฏมาในสิริรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการจากไปของพระองค์ที่กำลังจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
(32) เปโตรและเพื่อนที่อยู่ด้วยต่างก็ง่วงนอนมาก เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และเห็นบุรุษทั้งสองคนยืนอยู่กับพระองค์
(33) ขณะที่บุรุษทั้งสองคนกำลังจะจากพระเยซูเจ้าไป เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า
ที่นี่สบายน่าอยู่จริง ๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์
หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
(34) ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ เมื่ออยู่ในเมฆ
เขากลัวมาก
(35) เสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรรจงฟังท่านเถิด”
(36) เมื่อสิ้นเสียงนั้นแล้ว ศิษย์ทั้งสามก็เห็นพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียวเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
ไม่ได้บอกเรื่องที่เห็นให้ผู้ใดรู้เลยในเวลานั้น
ลก 9:37-43 คนถูกปีศาจสิง
(37) ต่อมา เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคน ประชาชนจำนวนมากเข้ามาเฝ้าพระองค์
(38) ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งร้องตะโกนในหมู่ประชาชนว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์โปรดทอดพระเนตร
บุตรชายของข้าพเจ้าด้วย เขาเป็นบุตรคนเดียวของข้าพเจ้า
(39) เมื่อปีศาจเข้าสิง เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันทีและเริ่มชัก น้ำลายฟูมปาก และก่อนที่ปีศาจจะออกไปมันก็จะทำให้เด็กหมดแรง
(40) ข้าพเจ้าวอนขอศิษย์ของท่านให้ขับไล่ปีศาจ แต่เขาทำไม่ได้”
(41) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก และเลวร้าย เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด
จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่”
(42) ขณะที่เด็กคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้ปีศาจก็ทำให้เด็กล้มลงชัก พระเยซูเจ้าตรัสสำทับปีศาจร้ายและทรงรักษาเด็กให้หายเป็นปกติแล้วมอบเขาให้บิดา
(43) ทุกคนประหลาดใจมากเมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ลก 9:44-45 พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สองเรื่องพระทรมาน
ขณะที่ทุกคนกำลังพิศวงในทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำอยู่นั้น พระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
(44) ”ท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำเหล่านี้ไว้ให้ดีเถิด บุตรแห่งมนุษย์กำลังจะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย”
(45) แต่บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถูกปิดบังไว้มิให้เข้าใจความหมาย
และเขาทั้งหลายไม่กล้าทูลถามเรื่องนี้
ลก 9:46-48 ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
(46) บรรดาศิษย์เริ่มถกเถียงกันว่าคนใดในกลุ่มยิ่งใหญ่ที่สุด
(47) พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงทรงจูงเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์
(48) ตรัสว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็ก ๆ คนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ต้อนรับเรา ผู้ใดต้อนรับเรา
ผู้นั้นก็ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามา เพราะในกลุ่มของท่านผู้ใดเล็กที่สุดผู้นั้นย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ลก 9:49-50 การใช้พระนามของพระเยซูเจ้า
(49) ยอห์นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนหนึ่งขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์
แต่เขาไม่ได้อยู่กับเรา เราพยายามห้ามปรามไว้ เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา
(50) แต่พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลย ผู้ใดที่ไม่ต่อต้านท่าน ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายท่าน”
IV การเดินทางสู่กรุงเยรูซาเล็ม
ลก 9:51-56 หมู่บ้านชาวสะมาเรียไม่รับเสด็จพระเยซูเจ้า
(51) เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม
(52) และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์
(53) แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม
(54) เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า
พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่
(55) พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคน
(56) แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์
ลก 9:57-62 ความยากลำบากในการเป็นอัครสาวก
(57) ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า
“ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ
(58) พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”
(59) พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่า “ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน”
(60) พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิดส่วนท่านจงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า”
(61) อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อน”
(62) พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า”
พระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคน
สาเหตุแท้จริงที่ทำให้บรรดาอัครสาวกชื่นชมยินดี
ผู้ต่ำต้อยได้รับข่าวดี
: พระบิดาและพระบุตร
สิทธิพิเศษของบรรดาศิษย์
บัญญัติเอก
อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี
มารธาและมารีย์
ลก 10:1-16 พระเยซูเจ้าทรงส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคน
10(1) ต่อจากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคนและทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์เป็นคู่
ๆ ไปทุกตำบลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ
(2) พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด
(3) จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า
(4) อย่านำถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตามทาง
(5) เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า “สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด”
(6) ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่นั่นสันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น
สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก
(7) จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำมาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน
อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น
(8) เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำมาตั้งให้
(9) จงรักษาผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว”
(10) แต่ถ้าท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า
(11) ”แม้แต่ฝุ่นจากเมืองของท่านที่ติดเท้าของเรา เราจะสลัดทิ้งไว้ปรักปรำท่าน
จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว”
(12) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษาชาวเมืองโสดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น
(13) ”วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว
เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบนกองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้ว
(14) ฉะนั้น เมืองไทระและเมืองไซดอนจะรับโทษเบากว่าเจ้าในวันพิพากษา
(15) ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะยกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย
(16) ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา ผู้ใดสบประมาทท่าน ผู้นั้นสบประมาทเรา ผู้ที่สบประมาทเรา
ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา
ลก 10:17-20 สาเหตุแท้จริงที่ทำให้บรรดาอัครสาวกชื่นชมยินดี
(17) ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยังอ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามของพระองค์”
(18) พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ
(19) จงฟังเถิด เราให้อำนาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำนาจเหนือกำลังทุกอย่างของศัตรู
ไม่มีอะไรจะทำร้ายท่านได้
(20) อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว”
ลก 10:21-22 ผู้ต่ำต้อยได้รับข่าวดี : พระบิดาและพระบุตร
(21) ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้
แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น
(22) พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา
และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้”
ลก 10:23-24 สิทธิพิเศษของบรรดาศิษย์
(23) แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ตรัสกับเขาโดยเฉพาะ“นัยน์ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่าง
ๆ ที่ท่านเห็น
(24) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นแต่ก็ไม่ได้เห็น
ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟังแต่ก็ไม่ได้ฟัง”
ลก 10:25-28 บัญญัติเอก
(25) ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์
ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร”
(26) พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร”
(27) เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ
สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”
(28) พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต”
ลก 10:29-37 อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี
(29) ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้องจึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า”
(30) พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค
เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขาแล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต
(31) สมณะผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง
(32) ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้นเห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน
(33) แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร
(34) จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา
(35) วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้กล่าวว่า
“ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา”
(36) ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น”
(37) เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด”
ลก 10:38-42 มารธาและมารีย์
(38) ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน
(39) นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าคอยฟังพระวาจาของพระองค์
(40) มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้
ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง”
(41) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก
(42) สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียวมารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”
บทภาวนาของพระเยซูเจ้า
เพื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ
คำอธิษฐานภาวนาที่ได้ผล
พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล
ปีศาจกลับมา
ผู้มีความสุขแท้จริง
เครื่องหมายของโยนาห์
การกล่าวถึงอุปมาเรื่องตะเกียงอีกครั้งหนึ่ง
พระเยซูเจ้าทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์
ลก 11:1-4 บทภาวนาของพระเยซูเจ้า
11(1) วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง
เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด”
(2) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า “ข้าแต่พระบิดา
พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง
(3) โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
(4) เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การประจญ”
ลก 11:5-8 เพื่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ
(5) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า
“เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด
(6) เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน”
(7) สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า “อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว ลูก ๆ
กับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก”
(8) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูกรบเร้า
ลก 11:9-13 คำอธิษฐานภาวนาที่ได้ผล
(9) เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ
จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน
(10) เพราะคนที่ขอย่อมได้รับคนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้
(11) ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ
(12) ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ
(13) แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ”
ลก 11:14-23 พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล
(14) พระเยซูเจ้ากำลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้
ประชาชนต่างประหลาดใจ
(15) บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง”
(16) บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์
(17) พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ
บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน
(18) ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไรเพราะท่านบอกว่า
เราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล
(19) ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำนาจของใครเล่า
พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน
(20) แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว
(21) เมื่อคนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย
(22) แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่เขามั่นใจนั้น
และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้
(23) ”ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่าง ๆ ไว้กับเรา
ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป
ลก 11:24-26 ปีศาจกลับมา
(24) ”เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก
เมื่อไม่พบมันจึงคิดว่า “ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา”
(25) เมื่อกลับมาถึง มันพบว่าบ้านนั้นปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย
(26) มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม”
ลก 11:27-28 ผู้มีความสุขแท้จริง
(27) ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นในหมู่ประชาชนว่า
“หญิงที่ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง”
(28) แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”
ลก 11:29-32 เครื่องหมายของโยนาห์
(29) เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย
อยากเห็นเครื่องหมายแต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น
(30) โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้น
(31) ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน
เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก
(32) ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์
แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก
ลก 11:33-36 การกล่าวถึงอุปมาเรื่องตะเกียงอีกครั้งหนึ่ง
(33) ”ไม่มีใครจุดตะเกียงวางไว้ในที่ลับตาหรือใต้ถัง แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อให้คนที่เข้ามาเห็นแสงสว่าง
(34) ประทีปของร่างกายคือดวงตาของท่าน เมื่อดวงตาเป็นปกติดี สรรพางค์กายของท่านก็ย่อมสว่างไปด้วย
แต่เมื่อดวงตาของท่านเลวร้าย สรรพางค์กายของท่านก็ย่อมมืดไปด้วย
(35) ฉะนั้น จงระวังอย่าให้ความสว่างในท่านมืดไป
(36) ถ้าสรรพางค์กายของท่านสว่างไสว ไม่มีส่วนใดมืด สรรพางค์กายของท่านก็จะสว่างไสว
เหมือนตะเกียงส่องสว่างท่านด้วยลำแสงของมัน”
ลก 11:37-54 พระเยซูเจ้าทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์
(37) เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน
พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ
(38) ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร
(39) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ชาวฟาริสีเอ๋ย ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของที่ขโมยมาและความชั่วร้าย
(40) คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผู้ทรงสร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ
(41) ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิดแล้วทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน
(42) วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ สมุนไพรและผักทุกชนิด
แต่ละเลยความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่น
ๆ
(43) วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรมและชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ
(44) วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ท่านเป็นเหมือนหลุมศพที่มองไม่เห็น คนจะเดินเหยียบไปโดยไม่รู้’
(45) นักกฎหมายคนหนึ่งจึงทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็สบประมาทพวกเราด้วย’
(46) พระองค์ตรัสตอบว่า ‘ท่านนักกฎหมายทั้งหลาย วิบัติจงเกิดแก่ท่านด้วย ท่านให้ผู้อื่นแบกสัมภาระหนักเกินกำลัง
แต่ท่านไม่ยอมแม้แต่จะใช้นิ้วแตะต้องสัมภาระนั้น
(47) ‘วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศกที่บรรพบุรุษของท่านฆ่า
(48) จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษบรรพบุรุษของท่านฆ่าบรรดาประกาศกและท่านก็สร้างหลุมฝังศพให้
(49) ‘พระปรีชาญาณของพระเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งประกาศกและทูตไปพบเขา เขาจะฆ่าประกาศกและทูตบางคนและเบียดเบียนบางคน
(50) คนรุ่นนี้ต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของบรรดาประกาศกทุกคน โลหิตที่ได้หลั่งตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา
(51) นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ซึ่งถูกประหารระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร”
ถูกแล้ว เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าคนรุ่นนี้จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้
(52) วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำกุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไปแล้วยังขัดขวางคนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย’
(53) ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จออกจากที่นั่น บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเริ่มแสดงตนเป็นศัตรูซักถามพระองค์ถึงเรื่องต่าง
ๆ
(54) วางกับดักพระองค์เพื่อจับผิดพระวาจา
การประกาศพระวาจาอย่างกล้าหาญ
การสะสมทรัพย์สมบัติ
ความวางใจในพระเจ้า
การให้ทาน
การเตรียมพร้อมเมื่อนายกลับมา
พระเยซูเจ้าตรัสถึงการรับทรมาน
พระเยซูเจ้าทรงเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง
การอ่านเครื่องหมายของกาลเวลา
ลก 12:1-12 การประกาศพระวาจาอย่างกล้าหาญ
12(1) ขณะที่ประชาชนนับพัน ๆ คนพากันเบียดเสียดจนเกือบจะเหยียบกันพระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสกับบรรดาศิษย์ก่อนว่า
‘จงระวังเชื้อแป้งของบรรดาชาวฟาริสีคือความหน้าซื่อใจคดของเขา
(2) ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นจะไม่มีใครรู้
(3) เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืดจะมีผู้ได้ยินในที่แจ้ง สิ่งที่ท่านกระซิบที่หูภายในห้องจะถูกประกาศบนดาดฟ้าของบ้าน
(4) ‘เรากล่าวแก่ท่านที่เป็นมิตรของเราว่า อย่าเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายและหลังจากนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก
(5) เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านต้องเกรงกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าแล้วยังมีอำนาจโยนท่านลงไปในนรกด้วย
ใช่แล้ว เราบอกท่านทั้งหลาย จงเกรงกลัวผู้นี้เถิด
(6) นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ แม้กระนั้นไม่มีนกสักตัวเดียวที่พระเจ้าทรงลืม
(7) ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว อย่าเกรงกลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก
(8) เราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรแห่งมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า
(9) แต่ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ จะถูกปฏิเสธไม่ยอมรับต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน
(10) ‘ทุกคนที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ผู้ที่กล่าวร้ายต่อพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย
(11) ‘เมื่อเขาจะนำท่านไปยังศาลาธรรมต่อหน้าผู้ปกครองและผู้ทรงอำนาจ ท่านทั้งหลายอย่าวิตกกังวลว่าจะหาเหตุผลป้องกันตัวอย่างไรหรือจะพูดอะไร
(12) เพราะพระจิตเจ้าจะทรงสอนท่านในเวลานั้นว่าจะต้องพูดอะไร’
ลก 12:13-21 การสะสมทรัพย์สมบัติ
(13) ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชายข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด’
(14) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน
(15) แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า ‘จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด
เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม’
(16) พระองค์ยังตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังอีกว่า ‘เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก
(17) เขาจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน”
(18) เขาคิดอีกว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม
จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้
(19) แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า “ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี
จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด”
(20) แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า
(21) คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเองแต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้”
ลก 12:22-32 ความวางใจในพระเจ้า
(22) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร
อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร
(23) ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหาร และร่างกายย่อมสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่ม
(24) จงสังเกตดูนกกาเถิด นกกามิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว ไม่มีโรงนา ไม่มียุ้งฉาง
แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงมันท่านทั้งหลายมีค่ามากกว่านกสักเพียงใด
(25) ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้
(26) ดังนั้น ถ้าสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ยังอยู่เหนืออำนาจของท่านแล้ว ท่านจะกังวลถึงเรื่องอื่น
ๆ ทำไมเล่า
(27) จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด ดอกไม้ไม่ปั่นด้ายหรือทอผ้าแต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหราก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง
(28) แม้แต่หญ้าในทุ่งนาซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระองค์ยังทรงตกแต่งเช่นนี้
พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านี้นั้นหรือ ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง
(29) ท่านอย่ากังวลใจแสวงหาว่าจะกินอะไรหรือจะดื่มอะไร
(30) สิ่งเหล่านี้ชนชาติอื่น ๆ ในโลกเท่านั้นที่แสวงหา พระบิดาของท่านทรงทราบดีว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้
(31) ฉะนั้น จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระองค์เถิด แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมทุกสิ่งให้
(32) ‘ฝูงแกะน้อย ๆ เอ๋ย อย่ากลัวเลย’ เพราะพระบิดาของท่านพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้แก่ท่าน
ลก 12:33-34 การให้ทาน
(33) ‘จงขายทรัพย์สินของท่านและให้ทาน จงหาถุงเงินที่ไม่มีวันชำรุด จงหาทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันหมดสิ้นในสวรรค์
ที่นั่นขโมยเข้าไม่ถึงและแมลงขมวนไม่ทำลาย
(34) เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
ลก 12:35-48 การเตรียมพร้อมเมื่อนายกลับมา
(35) ‘ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอวและจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้
(36) จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่กำลังคอยนายกลับจากงานสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ
(37) ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย
(38) ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำลังทำเช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข
(39) พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตน
(40) ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย’
(41) เปโตรทูลว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ตรัสอุปมานี้สำหรับพวกเราหรือสำหรับทุกคน’
(42) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครเล่าเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์และรอบคอบซึ่งนายจะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่น
ๆ เพื่อปันส่วนอาหารให้ตามเวลาที่กำหนด
(43) ผู้รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำลังทำดังนี้
(44) เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน
(45) แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า “นายจะมาช้า” และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง
กินดื่มจนเมามาย
(46) นายของผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้
นายจะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์
(47) ‘ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก
(48) แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย
ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย
ลก 12:49-50 พระเยซูเจ้าตรัสถึงการรับทรมาน
(49) ‘เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ
(50) เรามีการล้างที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำเร็จ
ลก 12:51-53 พระเยซูเจ้าทรงเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง
(51) ‘ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติภาพมาสู่โลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าเรานำความแตกแยกมาต่างหาก
(52) ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกันคนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน
(53) บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง
และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี’
ลก 12:54-59 การอ่านเครื่องหมายของกาลเวลา
(54) พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า ‘เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก
ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และก็เป็นเช่นนั้น
(55) เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น
(56) คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านรู้จักวินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำไมจึงไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า
(57) ‘ทำไมท่านจึงไม่ตัดสินด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูกต้องเล่า
(58) ขณะที่ท่านกำลังไปศาลกับคู่ความของท่าน จงพยายามตกลงกันเสียระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลากท่านไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม
และผู้คุมจะขังท่านไว้ในคุก
(59) เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้จนกว่าท่านจะชำระหนี้จนถึงเศษสตางค์สุดท้าย’
เหตุการณ์ที่ชวนให้กลับใจ
อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศไร้ผล
พระเยซูเจ้าทรงรักษาสตรีพิการในวันสับบาโต
อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
อุปมาเรื่องเชื้อแป้ง
ประตูแคบ ชาวยิวปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าคนต่างศาสนาได้รับเรียก
กษัตริย์เฮโรดเจ้าเล่ห์
คำตักเตือนต่อกรุงเยรูซาเล็ม
ลก 13:1-5 เหตุการณ์ที่ชวนให้กลับใจ
13(1) ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชาพระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า
(2) ‘ท่านคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านี้เป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลีทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้
(3) มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นกัน
(4) แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่าคนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ
(5) มิได้เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน’
ลก 13:6-9 อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศไร้ผล
(6) พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า ‘ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน
เขามามองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ
(7) จึงพูดแก่คนสวนว่า “ดูซิสามปีแล้วที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่พบ
จงโค่นมันเสียเถิด เสียที่เปล่า ๆ”
(8) แต่คนสวนตอบว่า “นายครับ ปล่อยมันไว้ปีนี้อีกสักปีหนึ่งเถิด ผมจะพรวนดินรอบต้นใส่ปุ๋ย
(9) ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้”’
ลก 13:10-17 พระเยซูเจ้าทรงรักษาสตรีพิการในวันสับบาโต
(10) ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในศาลาธรรมแห่งหนึ่งในวันสับบาโต
(11) สตรีคนหนึ่งถูกปีศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้เลย
(12) เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนางเข้ามาและตรัสว่า ‘หญิงเอ๋ย
เธอพ้นจากความพิการของเธอแล้ว’
(13) พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
(14) แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโต จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า
‘วันที่ทำงานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย’
(15) องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า
พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ
(16) หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว
ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’
(17) เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้วผู้ต่อต้านทุกคนของพระองค์รู้สึกอับอาย ขณะที่ประชาชนต่างชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำ
ลก 13:18-19 อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
(18) พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับสิ่งใด เราจะเปรียบพระอาณาจักรกับสิ่งใด
(19) พระอาณาจักรก็เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งชายคนหนึ่งทิ้งไว้ในสวนของตน มันเติบโตขึ้นและกลายเป็นต้นไม้
จนกระทั่งบรรดานกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้’
ลก 13:20-21 อุปมาเรื่องเชื้อแป้ง
(20) พระองค์ยังตรัสอีกว่า ‘เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใด
(21) พระอาณาจักรก็เหมือนกับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง
จนแป้งฟูขึ้นทั้งหมด’
ลก 13:22-30 ประตูแคบ ชาวยิวปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าคนต่างศาสนาได้รับเรียก
(22) พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านเมืองและหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนประชาชนและทรงเดินทางมุ่งไปกรุงเยรูซาเล็ม
(23) คนคนหนึ่งทูลถามพระองค์ว่า ‘พระเจ้าข้า มีคนน้อยคนใช่ไหมที่รอดพ้นได้’ พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
(24) ‘จงพยายามเข้าทางประตูแคบเพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไป
แต่จะเข้าไม่ได้
(25) ‘เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตู ท่านจะยืนอยู่ข้างนอก เคาะประตูพูดว่า
“พระเจ้าข้า เปิดประตูให้พวกเราด้วย” แต่เขาจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด”
(26) แล้วท่านก็จะพูดว่า “พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่าน ท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา”
(27) แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดไปให้พ้นจากเราเถิด
เจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า”
(28) ‘เวลานั้น ท่านทั้งหลายจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคืองเมื่อแลเห็นอับราฮัม
อิสอัคและยาโคบกับบรรดาประกาศกในพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ท่านทั้งหลายกลับถูกไล่ออกไปข้างนอก
(29) จะมีคนจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า
(30) ‘ดังนั้น พวกที่เป็นกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก และพวกที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นกลุ่มสุดท้าย’
ลก 13:31-33 กษัตริย์เฮโรดเจ้าเล่ห์
(31) เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘ท่านจงเดินทางออกไปจากที่นี่เถิด
เพราะกษัตริย์เฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน’
(32) พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นว่าเราขับไล่ปีศาจและรักษาโรค
วันที่สามเราจะบรรลุถึงเป้าหมาย
(33) แต่วันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เราจะต้องเดินทางต่อไป เพราะประกาศกจะตายนอกกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้
ลก 13:34-35 คำตักเตือนต่อกรุงเยรูซาเล็ม
(34) ‘เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาเจ้า
กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เราต้องการรวบรวมบุตรของเจ้าเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก
แต่เจ้าไม่ต้องการ
(35) บัดนี้ บ้านของท่านทั้งหลายจะต้องถูกทิ้งร้าง เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีกจนถึงเวลาที่ท่านจะกล่าวว่า
“ขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคบวมในวันสับบาโต
การเลือกที่นั่งในงานเลี้ยง
การเลือกเชิญแขก
ข้ออ้างของแขกรับเชิญ
การสละทุกสิ่งซึ่งเป็นที่รัก
การสละทรัพย์สมบัติ
การสละทรัพย์สมบัติ
ลก 14:1-6 พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคบวมในวันสับบาโต
14(1) วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัวหน้าชาวฟาริสีผู้หนึ่ง
ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์
(2) ขณะนั้นชายคนหนึ่งเป็นโรคบวมกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์
(3) พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามบรรดานักกฎหมายและชาวฟาริสีว่า ‘อนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่
(4) แต่คนเหล่านั้นนิ่งเงียบ พระองค์จึงทรงสัมผัสผู้ป่วย ทรงรักษาเขา แล้วให้กลับไป
(5) พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นอีกว่า ‘ถ้าผู้ใดมีบุตรหรือมีโคตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้เป็นวันสับบาโตหรือ’
(6) แต่คนเหล่านั้นตอบคำถามนี้ไม่ได้
ลก 14:7-11 การเลือกที่นั่งในงานเลี้ยง
(7) พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสเป็นอุปมากับเขาว่า
(8) ‘เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามีคนสำคัญกว่าท่านได้รับเชิญมาด้วย
(9) เจ้าภาพที่เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า “จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด” แล้วท่านจะต้องอับอายไปนั่งที่สุดท้าย
(10) แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่านว่า
“เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งในที่ที่ดีกว่านี้เถิด” แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลาย
(11) เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’
ลก 14:12-14 การเลือกเชิญแขก
(12) พระองค์ตรัสกับผู้ที่เชิญพระองค์ว่า ‘เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารค่ำ
อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เพราะเขาจะเชิญท่านและท่านจะได้รับการตอบแทน
(13) แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อยคนตาบอด
(14) แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าเมื่อผู้ชอบธรรมกลับคืนชีวิต
ลก 14:15-24 ข้ออ้างของแขกรับเชิญ
(15) ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระองค์ว่า ‘ผู้ที่กินอาหารในพระอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นสุข’
(16) พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชายผู้หนึ่งจัดงานเลี้ยงใหญ่และเชิญคนเป็นจำนวนมาก
(17) เมื่อถึงเวลางาน เขาส่งผู้รับใช้ไปบอกผู้รับเชิญทั้งหลายว่า “เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว”
(18) แต่ทุกคนต่างขอตัว คนแรกพูดว่า “ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นาไว้แปลงหนึ่ง จำเป็นต้องไปดู
จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”
(19) อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าซื้อโคไว้ห้าคู่ กำลังจะไปทดลองใช้งาน จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้”
(20) อีกคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงมาไม่ได้”
(21) ‘ผู้รับใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายโกรธมาก พูดกับผู้รับใช้ว่า
“จงรีบออกไปตามลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการคนตาบอดและคนง่อยเข้ามาที่นี่เถิด”
(22) ผู้รับใช้กลับมาบอกนายว่า “นายขอรับข้าพเจ้ากระทำตามคำสั่งของท่านแล้วแต่ยังมีที่ว่างอีก”
(23) นายจึงบอกผู้รับใช้ว่า “จงออกไปตามทางเดินและตามรั้วต้นไม้เร่งเร้าผู้คนให้เข้ามาเพื่อทำให้คนเต็มบ้านของเรา
(24) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา”
ลก 14:25-27 การสละทุกสิ่งซึ่งเป็นที่รัก
(25) ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินไปกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงหันพระพักตร์มาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
(26) ‘ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดาภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง
และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้
(27) ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน
ลก 14:28-33 การสละทรัพย์สมบัติ
(28) ‘ท่านที่ต้องการสร้างหอคอย จะไม่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอสร้างให้เสร็จหรือไม่
(29) มิฉะนั้นเมื่อวางรากฐานไปแล้ว แต่สร้างไม่สำเร็จ ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเยาะเขา
พูดว่า
(30) “คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้”
(31) หรือกษัตริย์ที่ทรงยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง จะไม่ทรงคำนวณก่อนหรือว่า
ถ้าใช้กำลังพลหนึ่งหมื่นคน จะเผชิญกับศัตรูที่มีกำลังพลสองหมื่นคนได้หรือไม่
(32) ถ้าไม่ได้ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งยังอยู่ห่างไกล พระองค์จะได้ทรงส่งทูตไปเจรจาขอสันติภาพ
(33) ดังนั้น ทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้
ลก 14:34-35 การสละทรัพย์สมบัติ
(34) ‘เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาสิ่งใดมาทำให้เค็มได้เล่า
(35) เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ทั้งสำหรับดินและสำหรับเป็นปุ๋ย มีแต่จะถูกโยนทิ้งเท่านั้น
ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด’
เรื่องอุปมาสามเรื่องแสดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้า
เรื่องแกะที่พลัดหลง
เรื่องเงินเหรียญที่หายไป
เรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว
ลก 15:1-3 เรื่องอุปมาสามเรื่องแสดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้า
15(1) บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า
(2) ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า ‘คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา’
(3) พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง
ลก 15:4-7 เรื่องแกะที่พลัดหลง
(4) ‘ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร
ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ
(5) เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี
(6) กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า “จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว”
(7) เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่”
ลก 15:8-10 เรื่องเงินเหรียญที่หายไป
(8) ‘หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วทำหายไปหนึ่งเหรียญ จะไม่จุดตะเกียง กวาดบ้าน
ค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ
(9) เมื่อพบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพูดว่า “จงร่วมยินดีกับฉันเถิด
ฉันพบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว”
(10) เราบอกท่านทั้งหลายว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมีความยินดีเช่นเดียวกันเมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ’
ลก 15:11-32 เรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว
(11) พระองค์ยังตรัสอีกว่า ‘ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน
(12) บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า“พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด”
บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน
(13) ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น
(14) ‘เมื่อเขาหมดตัวก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน
(15) จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่งคนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา
(16) เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้
(17) เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า “คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่
หิวจะตายอยู่แล้ว
(18) ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ
(19) ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด”
(20) เขาก็กลับไปหาบิดา ‘ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา
(21) บุตรจึงพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก”
(22) แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา
นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้
(23) จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด
(24) เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
(25) ‘ส่วนบุตรคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ
(26) จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น
(27) ผู้รับใช้บอกเขาว่า “น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว
เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย”
(28) บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป
(29) แต่เขาตอบบิดาว่า “ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย
พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ
(30) แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย”
(31) ‘บิดาพูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก
(32) แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว
กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก”’
ความฉลาดของผู้จัดการ
การใช้เงินทองอย่างถูกต้อง
พระเยซูเจ้าทรงตำหนิชาวฟาริสีที่รักเงินทอง
ความพยายามเข้าสู่พระอาณาจักร
ธรรมบัญญัติคงอยู่ตลอดไป
การสมรสหย่าร้างไม่ได้
อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส
ลก 16:1-8 ความฉลาดของผู้จัดการ
16(1) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า ‘เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คนหนึ่ง
มีผู้มาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ผลาญทรัพย์สินของนาย
(2) เศรษฐีจึงเรียกผู้จัดการมาถามว่า “เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร
จงทำบัญชีรายงานการจัดการของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป”
(3) ผู้จัดการจึงคิดว่า ”ฉันจะทำอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว
จะไปขุดดินก็ทำไม่ไหว จะไปขอทานก็อายเขา
(4) ฉันรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว
จะมีคนรับฉันไว้ในบ้านของเขา”
(5) ‘เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า “ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้าเท่าไร”
(6) ลูกหนี้ตอบว่า “เป็นหนี้น้ำมันมะกอกหนึ่งร้อยถัง” ผู้จัดการจึงบอกว่า “นำใบสัญญาของท่านมา
นั่งลงเร็ว ๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง”
(7) แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า “แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร” เขาตอบว่า
“เป็นหนี้ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ” ผู้จัดการจึงบอกว่า “เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปดสิบกระสอบ”
(8) ‘นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะบุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความสว่าง'
ลก 16:9-13 การใช้เงินทองอย่างถูกต้อง
(9) ‘ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนี้เพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง
เพื่อว่าเมื่อเงินทองนั้นหมดสิ้นแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับสู่ที่พำนักนิรันดร
(10) ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย
ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย
(11) เพราะฉะนั้นถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า
(12) ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สมบัติของผู้อื่นผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน
(13)‘ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่งเขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่งท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้’
ลก 16:14-15 พระเยซูเจ้าทรงตำหนิชาวฟาริสีที่รักเงินทอง
(14) ชาวฟาริสีที่รักเงินทอง ได้ยินถ้อยคำทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์
(15) พระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์
แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่องเป็นสิ่งน่ารังเกียจเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า
ลก 16:16-16 ความพยายามเข้าสู่พระอาณาจักร
(16) ‘ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกมีผลบังคับจนถึงสมัยของยอห์น หลังจากนั้นมีการประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า และทุกคนกำลังพยายามเข้าสู่พระอาณาจักรนี้
ลก 16:17-17 ธรรมบัญญัติคงอยู่ตลอดไป
(17) ‘ฟ้าและดินจะสิ้นสูญไปได้ แต่ธรรมบัญญัติที่เขียนไว้จะไม่ขาดหายไป แม้เพียงจุดเดียว
ลก 16:18-18 การสมรสหย่าร้างไม่ได้
(18) ‘ทุกคนที่หย่าร้างภรรยาและแต่งงานใหม่ก็ทำผิดประเวณี และผู้ที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างแล้วก็ทำผิดประเวณีด้วย
ลก 16:19-31 อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส
(19) ‘เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน
(20) คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว
(21) อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี
((22)) มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา
(22) วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัมเศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน
และถูกฝังไว้
(23) ‘เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล
และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก
(24) จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง
เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้”
(25) แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดี
ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆบัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน
(26) ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก
ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย”
(27) ‘เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก
(28) เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย”
(29) อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด”
(30) แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา
เขาจึงจะกลับใจ”
(31) อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา
เขาก็จะไม่เชื่อ”
การชักนำผู้อื่นให้ทำบาป
การตักเตือนกันฉันพี่น้อง
พลังของความเชื่อ
การถ่อมตนรับใช้
คนโรคเรื้อนสิบคน
พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง
วันของบุตรแห่งมนุษย์
ลก 17:1-3 การชักนำผู้อื่นให้ทำบาป
17(1) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เหตุที่ชักนำให้ทำบาปจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เป็นเหตุให้บาปเกิดขึ้น
(2) ถ้าจะเอาหินโม่แขวนคอเขาและโยนเขาลงทะเล จะเป็นการดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นเหตุชักนำคนธรรมดา
ๆ เหล่านี้แม้เพียงคนเดียวให้ทำบาป
(3) ท่านทั้งหลายจงระวังตนให้ดีเถิด”
ลก 17:4-4 การตักเตือนกันฉันพี่น้อง
‘ถ้าพี่น้องของท่านทำผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา
(4) ถ้าเขาทำผิดต่อท่านวันละเจ็ดครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า “ฉันเสียใจ”
ท่านจงให้อภัยเขาเถิด’
ลก 17:5-6 พลังของความเชื่อ
(5) บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด’
(6) องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า ‘ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า
“จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด” ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน
ลก 17:7-10 การถ่อมตนรับใช้
(7) ‘ท่านผู้ใดที่มีคนรับใช้ออกไปไถนา หรือไปเลี้ยงแกะ เมื่อคนรับใช้กลับจากทุ่งนา
ผู้นั้นจะพูดกับคนรับใช้หรือว่า “เร็วเข้า มานั่งโต๊ะเถิด”
(8) แต่จะพูดมิใช่หรือว่า “จงเตรียมอาหารมาให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม
หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและดื่ม”
(9) นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ
(10) ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า
“ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น”’
ลก 17:11-19 คนโรคเรื้อนสิบคน
(11) ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียและกาลิลี
(12) เมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระองค์ ยืนอยู่ห่างพระองค์
(13) ร้องตะโกนว่า ‘พระเยซู พระอาจารย์ โปรดสงสารพวกเราเถิด’
(14) พระองค์ทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสกับเขาว่า ‘จงไปแสดงตนแก่บรรดาสมณะเถิด’ ขณะที่เขากำลังไป
เขาก็หายจากโรค
(15) คนหนึ่งในสิบคนนี้ เมื่อพบว่าตนหายจากโรคแล้ว ก็กลับมา พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้า
(16) ซบหน้าลงแทบพระบาท ขอบพระคุณพระองค์ เขาผู้นี้เป็นชาวสะมาเรีย
(17) พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรือ อีกเก้าคนอยู่ที่ใดเล่า
(18) ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ’
(19) แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘จงลุกขึ้น ไปเถิดความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว’
ลก 17:20-21 พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง
(20) เมื่อชาวฟาริสีทูลถามว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
‘พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้
(21) ไม่มีใครจะพูดว่า “พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น” เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว’
ลก 17:22-37 วันของบุตรแห่งมนุษย์
(22) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า ‘เวลานั้นจะมาถึงเมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์แม้เพียงวันเดียว
แต่จะไม่ได้เห็น
(23) จะมีหลายคนกล่าวกับท่านว่า “บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น’ หรือ “บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นี่”
ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป
(24) เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้าหนึ่งฉันใด
บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น
(25) แต่ก่อนจะถึงวันนั้นบุตรแห่งมนุษย์จำเป็นต้องรับการทรมานอย่างมาก และจำเป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์
(26) ‘เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่งมนุษย์ฉันนั้น
(27) ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น้ำวินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น
(28) ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกันผู้คนกิน ดื่ม ซื้อขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน
(29) แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น
(30) ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงสำแดงองค์ ก็จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย
(31) ‘ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่านั้นเลย
คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก
(32) ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด
(33) ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน
ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้
(34) เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป
อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้
(35) หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้’
(36)
(37) บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า ‘เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า’ พระองค์ทรงตอบว่า
‘ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน’
ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า
ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี
พระเยซูเจ้าและเด็กเล็ก
ๆ
ขุนนางผู้มั่งมี
อันตรายจากทรัพย์สมบัติ
รางวัลของการสละทุกสิ่ง
พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สามถึงพระทรมาน
คนตาบอดที่เมืองเยรีโค
ลก 18:1-8 ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า
18(1) พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์เพื่อสอนว่าจำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย
(2) พระองค์ตรัสว่า ‘ผู้พิพากษาคนหนึ่งอยู่ในเมืองหนึ่ง เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด
(3) หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพูดว่า “กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด”
(4) ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า
“แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด
(5) แต่เพราะหญิงม่ายผู้นี้มาทำให้ฉันรำคาญ ฉันจึงจะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา”’
(6) องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนั้นพูดซิ
(7) แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เลือกสรรที่ร้องหาพระองค์ทั้งวันทั้งคืนดอกหรือพระองค์จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ
(8) เราบอกท่านทั้งหลายว่าพระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา
จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ’
ลก 18:9-14 ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี
(9) พระเยซูเจ้าตรัสเล่าเรื่องอุปมานี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า
(10) ‘มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี
(11) ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น
ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้
(12) ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า”
(13) ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอกพูดว่า
“ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด”
(14) เราบอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับเพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง
ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น’
ลก 18:15-17 พระเยซูเจ้าและเด็กเล็ก ๆ
(15) มีผู้นำเด็กเล็ก ๆ มาให้พระเยซูเจ้าทรงสัมผัสอวยพร บรรดาศิษย์เห็นเข้าจึงพูดตำหนิคนเหล่านั้น
(16) แต่พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็ก ๆ เหล่านั้นเข้ามาตรัสว่า‘ปล่อยให้เด็กเล็ก
ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กเหล่านี้
(17) เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า “ผู้ใดไม่รับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างที่เด็กเล็ก
ๆ รับเขาจะไม่เข้าสู่พระอาณาจักรเลย’
ลก 18:18-23 ขุนนางผู้มั่งมี
(18) ขุนนางคนหนึ่งทูลถามพระเยซูเจ้าว่า ‘พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร’
(19) พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ทำไมเรียกเราว่าผู้ทรงความดี ไม่มีใครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านั้น
(20) ท่านก็รู้จักบทบัญญัติแล้วอย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ
จงนับถือบิดามารดา’
(21) เขาทูลว่า ‘ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว
(22) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยิน จึงตรัสว่า ‘ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี
แจกจ่ายเงินให้คนจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด’
(23) เมื่อได้ยินพระวาจานี้ เขาเศร้าใจมาก เพราะเขาเป็นคนมั่งมี
ลก 18:24-27 อันตรายจากทรัพย์สมบัติ
(24) พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรขุนนางคนนั้นแล้วตรัสว่า ‘ยากจริงหนอที่คนมั่งมีจะเข้าพระอาณาจักรของพระเจ้า
(25) อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า’
(26) ผู้ที่ฟังอยู่จึงพูดว่า ‘ถ้าเช่นนั้น ใครเล่าจะรอดพ้นได้’
(27) พระองค์ตรัสว่า ‘สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’
ลก 18:28-30 รางวัลของการสละทุกสิ่ง
(28) เปโตรทูลว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งที่มีและติดตามพระองค์แล้ว’
(29) พระองค์ตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือนภรรยา
พี่น้อง บิดามารดาหรือบุตรเพราะเห็นแก่พระอาณาจักรของพระเจ้า
(30) แล้วจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทนหลายเท่า ณ บัดนี้ และได้รับชีวิตนิรันดรในโลกหน้า’
ลก 18:31-34 พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สามถึงพระทรมาน
(31) พระเยซูเจ้าทรงนำอัครสาวกสิบสองคนออกไปตามลำพัง ตรัสกับเขาว่า‘บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
และทุกสิ่งที่บรรดาประกาศกได้เขียนไว้เกี่ยวกับบุตรแห่งมนุษย์จะเป็นความจริง
(32) บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบแก่บรรดาคนต่างศาสนา จะถูกสบประมาทเยาะเย้ย ถูกทำทารุณ
และถูกถ่มน้ำลายรด
(33) เขาเหล่านั้นจะโบยตีพระองค์และฆ่าพระองค์เสีย แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงกลับคืนพระชนมชีพ’
(34) แต่บรรดาอัครสาวกไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้เลย พระดำรัสนี้ลึกลับสำหรับเขา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส
ลก 18:35-43 คนตาบอดที่เมืองเยรีโค
(35) ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง
(36) เมื่อได้ยินเสียงผู้คนผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
(37) มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา
(38) คนตาบอดจึงร้องขึ้นว่า ‘ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด’
(39) ผู้คนที่เดินข้างหน้า ได้ดุว่าเขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า
‘พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด’
(40) พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้นำคนนั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า
(41) ‘ท่านอยากให้เราทำอะไรให้’ เขาทูลว่า ‘พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด’
(42) พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว’
(43) ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า
ศักเคียส
อุปมาเรื่องผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำทุน
พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนที่กรุงเยรูซาเล็ม
พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
พระเยซูเจ้าทรงปกป้องบรรดาศิษย์ที่โห่ร้องถวายพระเกียรติ
พระเยซูเจ้าทรงพระกันแสง
พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร
พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร
ลก 19:1-10 ศักเคียส
19(1) พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น
(2) ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี
(3) เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย
(4) เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า
(5) เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่นทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า
‘ศักเคียสรีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้’
(6) เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี
(7) ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า‘เขาไปพักที่บ้านคนบาป’
(8) ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน
และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า’
(9) พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘วันนี้ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้วเพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย
(10) บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น’
ลก 19:11-27 อุปมาเรื่องผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำทุน
(11) ขณะที่ประชาชนกำลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่ พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้ กรุงเยรูซาเล็มแล้ว
ประชาชนคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้า พระองค์จึงทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง
(12) พระองค์ตรัสว่า ‘บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำแหน่งกษัตริย์
แล้วจะกลับมา
(13) เขาเรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า “จงเอาเงินนี้ไปทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ”
(14) แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า “พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์”
(15) แต่เขาก็ยังได้รับตำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขามอบเงินให้ไว้มาพบ
เพื่อจะรู้ว่าแต่ละคนได้ทำธุรกิจอย่างไร
(16) คนแรกเข้ามารายงานว่า “นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้สิบเท่า”
(17) นายจึงบอกเขาว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย
เจ้าจงมีอำนาจปกครองเมืองสิบเมืองเถิด”
(18) คนที่สองเข้ามารายงานว่า “นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้ห้าเท่า”
(19) นายบอกเขาว่า “เจ้าจงไปปกครองเมืองห้าเมืองเถิด”
(20) อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่นี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บไว้
(21) ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน”
(22) นายจึงพูดกับเขาว่า “เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำพูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า
ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน
(23) ทำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย”
(24) นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า “จงเอาเงินจากเขามาให้กับผู้ที่ทำกำไรสิบเท่าเถิด”
(25) คนเหล่านั้นพูดว่า “นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว”
(26) นายจึงตอบว่า “ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย
สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย
(27) ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารเสียต่อหน้าข้า”
Vพระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนที่กรุงเยรูซาเล็ม
ลก 19:28-38 พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
(28) เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
(29) เมื่อเสด็จเข้าใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี ใกล้กับภูเขาที่เรียกกันว่าภูเขามะกอกเทศ
พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า
(30) ‘จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่
ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมาให้เราเถิด
(31) ถ้าผู้ใดถามว่า ท่านแก้เชือกผูกลาทำไม จงตอบเขาว่า พระอาจารย์ต้องการใช้มัน”
(32) ศิษย์ที่พระองค์ทรงสั่ง ได้ไปและพบตามที่พระองค์ทรงบอกเขา
(33) ขณะที่เขากำลังแก้เชือกผูกลูกลาอยู่ เจ้าของลาถามว่า ‘ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม’
(34) ศิษย์ทั้งสองคนก็ตอบว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน’
(35) ศิษย์ทั้งสองคนจูงลูกลามาถวายพระเยซูเจ้า ปูเสื้อคลุมของตนบนหลังลาแล้วทูลเชิญพระเยซูเจ้าให้ทรงลาตัวนั้น
(36) ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนปูเสื้อคลุมของตนบนทาง
(37) เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศแล้วบรรดาศิษย์ต่างมีความชื่นชมยินดี
โห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเพราะการอัศจรรย์ทุกอย่างที่เขาเห็น
(38) ว่า ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมา ในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า สันติจงมีในสวรรค์
และพระสิริรุ่งโรจน์จงมีในที่สูงสุด
ลก 19:39-40 พระเยซูเจ้าทรงปกป้องบรรดาศิษย์ที่โห่ร้องถวายพระเกียรติ
(39) ชาวฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ จงห้ามบรรดาศิษย์ของท่านเถิด’
(40) พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนเหล่านี้นิ่งเงียบ ก้อนหินทั้งหลายจะส่งเสียงตะโกน’
ลก 19:41-44 พระเยซูเจ้าทรงพระกันแสง
(41) ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนั้นแล้วทรงพระกันแสง
(42) ตรัสว่า ‘ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นถูกซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าเสียแล้ว
(43) วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน
(44) จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก
เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า’
ลก 19:45-46 พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร
(45) พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริ่มขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัสกับเขาว่า
(46) ‘มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร’
ลก 19:47-48 พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร
(47) พระองค์ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์และหัวหน้าประชาชนหาวิธีกำจัดพระองค์
(48) แต่หาวิธีไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร เพราะประชาชนทุกคนกำลังตั้งใจฟังพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงรับอำนาจจากที่ใด
อุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย
การเสียภาษีแก่จักรพรรดิซีซาร์
การกลับคืนชีพของผู้ตาย
พระคริสตเจ้าทรงเป็นยิ่งกว่าโอรสของกษัตริย์ดาวิด
พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์
ลก 20:1-8 พระเยซูเจ้าทรงรับอำนาจจากที่ใด
20(1) วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนประชาชนและทรงประกาศข่าวดีอยู่ในพระวิหาร
บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์และผู้อาวุโสเข้ามาพบพระองค์
(2) ทูลถามพระองค์ว่า ‘จงบอกเราเถิดว่าท่านมีอำนาจใดจึงทำเช่นนี้ ใครเป็นผู้มอบอำนาจนี้กับท่าน’
(3) พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เราจะถามท่านอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกันท่านจงตอบเราซิว่า
(4) พิธีล้างของยอห์นมาจากสวรรค์ หรือจากมนุษย์
(5) เขาจึงปรึกษากันว่า ‘ถ้าเราตอบว่า มาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า “แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า”
(6) ถ้าเราตอบว่ามาจากมนุษย์ ประชาชนทั้งหมดก็จะเอาหินทุ่มเราเป็นแน่ เพราะประชาชนทั้งหลายมั่นใจว่ายอห์นเป็นประกาศก’
(7) บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์และผู้อาวุโสจึงตอบว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน”
(8) พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า ‘เราก็จะไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่าเราทำการเหล่านี้โดยอำนาจใด’
ลก 20:9-19 อุปมาเรื่องคนเช่าสวนชั่วร้าย
(9) พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้ประชาชนฟังว่า ‘ชายคนหนึ่งทำสวนองุ่นให้ชาวสวนเช่า
แล้วออกเดินทางไปต่างเมืองเป็นเวลานาน
(10) เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเขาส่งคนรับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน
แต่คนเช่าสวนทุบตีคนรับใช้คนนั้นแล้วไล่กลับไปมือเปล่า
(11) เจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ทุบตีด่าว่าคนรับใช้คนนี้อย่างหยาบคาย
แล้วไล่กลับไปมือเปล่าเช่นกัน
(12) เจ้าของสวนยังส่งคนรับใช้คนที่สามไปอีก คนเช่าสวนก็ทำร้ายคนรับใช้คนนี้จนบาดเจ็บแล้วไล่ออกไป
(13) เจ้าของสวนจึงคิดว่า “ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันจะส่งลูกสุดที่รักไป พวกนั้นคงจะเกรงใจลูกของฉันบ้าง”
(14) เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรของเจ้าของสวนมาก็ปรึกษากันว่า “คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด
เพื่อมรดกจะได้ตกเป็นของเรา”
(15) แล้วเขาก็ไล่บุตรของเจ้าของสวนออกไปจากสวนและฆ่าเสีย ‘เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้
(16) เขาจะมาทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วยกสวนให้คนอื่นเช่า’ เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้จึงกล่าวว่า
‘อย่าให้เป็นเช่นนี้เลย’
(17) พระเยซูเจ้าทรงเพ่งมองหน้าเขา ตรัสว่า ‘ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้หมายความว่าอย่างไร
หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม
(18) ทุกคนที่ล้มลงบนหินก้อนนั้นจะแหลกเป็นชิ้น ๆ หินก้อนนี้ตกทับผู้ใด ผู้นั้นจะแหลกเป็นชิ้น
ๆ เช่นเดียวกัน”
(19) บรรดาธรรมาจารย์และหัวหน้าสมณะรู้ดีว่าพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องนี้หมายถึงพวกตน
จึงหาวิธีการจะจับกุมพระองค์ทันที แต่ยังไม่กล้าทำ เพราะกลัวประชาชน
ลก 20:20-26 การเสียภาษีแก่จักรพรรดิซีซาร์
(20) พวกเขาจึงคอยจับตาดูพระองค์ ส่งสายลับซึ่งแสร้งทำตนเป็นคนชอบธรรมเพื่อให้มาจับผิดพระองค์ในพระวาจา
จะได้มอบพระองค์ให้แก่ผู้ว่าราชการซึ่งมีอำนาจตัดสิน
(21) คนเหล่านี้ทูลพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านพูดและสั่งสอนอย่างตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใคร
แต่สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง
(22) เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีแก่ซีซาร์’
(23) พระเยซูเจ้าทรงทราบอุบายของเขา จึงตรัสว่า
(24) “เอาเงินเหรียญให้เราดูสักเหรียญหนึ่งเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร’เขาตอบว่า
‘เป็นของซีซาร์’
(25) พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า ‘ดังนั้น ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงคืนให้พระเจ้าเถิด’
(26) เขาจับผิดพระองค์ไม่ได้ในพระวาจานี้ที่พระองค์ตรัสต่อหน้าประชาชน เขาประหลาดใจในคำตอบของพระองค์
จึงนิ่งเงียบไป
ลก 20:27-40 การกลับคืนชีพของผู้ตาย
(27) ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพเขาทูลถามพระองค์ว่า
(28) ‘พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย มีภรรยาแต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย
(29) มีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร
(30) คนที่สอง
(31) คนที่สามรับนางเป็นภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร เป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน
(32) ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย
(33) ดังนี้ เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา’
(34) พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า 'คนของโลกนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน
(35) แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก
(36) เพราะเขาจะไม่ตายอีกต่อไปเขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า
เพราะเขาจะกลับคืนชีพ
(37) โมเสสยืนยันแล้วว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพในข้อความเรื่องพุ่มไม้ เมื่อพูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
เป็นพระเจ้าของอับราฮัมพระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ
(38) พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น เพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์’
(39) ธรรมาจารย์บางคนพูดว่า ‘พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว’
(40) เขาไม่กล้าทูลถามพระองค์อีกต่อไป
ลก 20:41-44 พระคริสตเจ้าทรงเป็นยิ่งกว่าโอรสของกษัตริย์ดาวิด
(41) พระเยซูเจ้าตรัสถามคนเหล่านั้นว่า ‘ประชาชนพูดได้อย่างไรว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด
(42) เพราะกษัตริย์ดาวิดตรัสไว้ในหนังสือเพลงสดุดีว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา
(43) จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองบาทของท่าน
(44) เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไร’
ลก 20:45-47 พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์
(45) ขณะที่ประชาชนทุกคนกำลังฟังอยู่ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า
(46) ‘จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา อยากให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ
พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง
(47) คนเหล่านี้โกงกินทรัพย์สินของหญิงม่ายและอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง
คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น’
เศษเงินของหญิงม่าย
คำปราศรัยเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม
บทนำ
เครื่องหมายเตือน
กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย
ภัยพิบัติในจักรวาล และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์
เวลาแห่งการเสด็จมา
คำเตือนให้เตรียมพร้อม
พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหารเป็นวันสุดท้าย
ลก 21:1-4 เศษเงินของหญิงม่าย
21(1) พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีกำลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน
(2) ทรงเห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย
(3) จึงตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ทำทานมากกว่าทุกคน
(4) เพราะทุกคนนำเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมดสำหรับเลี้ยงชีพมาทำทาน’
คำปราศรัยเรื่องการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม
ลก 21:5-7 บทนำ
(5) ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า
(6) ‘สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย’
(7) เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรและมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น’
ลก 21:8-19 เครื่องหมายเตือน
(8) พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา
พูดว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และ “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” อย่าตามเขาไป
(9) เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน
แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย’
(10) แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง
(11) แผ่นดินไหว โรคระบาดและความอดอยากอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว
และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า
(12) ‘แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน
จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา
(13) และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา
(14) จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน
(15) เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้
(16) บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย
(17) ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา
(18) แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว
(19)ด้วยการยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้
ลก 21:20-24 กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย
(20) ‘เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่างๆล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
(21) เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบออกไปเสีย
ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จงอย่าเข้ามาในกรุง
(22) เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะเป็นความจริงทุกประการ
(23) น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดินและพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้
(24) บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้
ลก 21:25-28 ภัยพิบัติในจักรวาล และการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของบุตรแห่งมนุษย์
(25) ‘จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ชนชาติต่าง ๆ บนแผ่นดินจะทนทุกข์ทรมาน
ฉงนสนเท่ห์ต่อเสียงกึกก้องของทะเลที่ปั่นป่วน
(26) มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวั่นใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในโลก เพราะสิ่งต่างๆ
ในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน
(27) หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่
(28) เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด
เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว’
ลก 21:29-33 เวลาแห่งการเสด็จมา
(29) พระองค์ตรัสเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังว่า ‘จงมองดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งหลายเถิด
(30) เมื่อมันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว
(31) เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว
(32) เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น
(33) ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย
ลก 21:34-36 คำเตือนให้เตรียมพร้อม
(34) ‘จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริงความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้
มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน
(35) เหมือนบ่วงแร้ว เพราะวันนั้นจะลงมาเหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน
(36) ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้าอธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีกำลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้’
ลก 21:37-38 พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหารเป็นวันสุดท้าย
(37) เวลากลางวัน พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร แต่เวลากลางคืนพระองค์ทรงออกไปประทับแรมอยู่บนเนินเขาที่เรียกว่าภูเขามะกอกเทศ
(38) ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ในพระวิหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อฟังพระองค์
VI พระทรมาน
การวางแผนกำจัดพระเยซูเจ้า
ยูดาสทรยศต่อพระองค์
การเตรียมงานเลี้ยงปัสกา
อาหารค่ำมื้อสุดท้ายการตั้งศีลมหาสนิท
พระเยซูเจ้าตรัสถึงการทรยศของยูดาส
ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุด
พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานรางวัลแก่บรรดาอัครสาวก
พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
วิกฤตการณ์ที่จะมาถึง
ภูเขามะกอกเทศ
พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม
เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้า
บรรดาทหารเยาะเย้ยพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว
พระทรมาน
ลก 22:1-6 การวางแผนกำจัดพระเยซูเจ้า ยูดาสทรยศต่อพระองค์
22(1) เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าปัสกากำลังจะมาถึง
(2) บรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์คิดหาวิธีกำจัดพระองค์ แต่ยังเกรงกลัวประชาชนอยู่
(3) เวลานั้นซาตานเข้าสิงยูดาสที่เรียกว่าอิสคาริโอท และเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน
(4) ยูดาสไปเจรจากับบรรดาหัวหน้าสมณะและนายทหารรักษาพระวิหารว่าจะมอบพระองค์ได้อย่างไร
(5) คนเหล่านั้นยินดีและตกลงจ่ายเงินให้
(6) ยูดาสยอมรับและพยายามหาโอกาสเหมาะเพื่อมอบพระองค์ให้พวกเขาโดยประชาชนไม่รู้เรื่องนี้
ลก 22:7-13 การเตรียมงานเลี้ยงปัสกา
(7) ก่อนจะถึงเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อที่ต้องฆ่าลูกแกะปัสกา
(8) พระเยซูเจ้าตรัสใช้เปโตรและยอห์นว่า ‘จงไปจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาให้เราเถิด’
(9) เขาทูลพระองค์ว่า‘พระองค์มีพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมที่ไหน’
(10) พระองค์ตรัสตอบว่า ‘เมื่อท่านเข้าไปในกรุง ชายคนหนึ่งกำลังเดินแบกหม้อน้ำอยู่จะมาพบท่าน
จงตามเขาไปในบ้านที่เขาจะเข้าไป
(11) และจงถามเจ้าของบ้านว่า “พระอาจารย์ถามว่าห้องที่เราจะกินปัสกากับบรรดาศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน”
(12) เขาจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบน มีพรมปูไว้ จงจัดเตรียมปัสกาที่นั่น’
(13) ศิษย์ทั้งสองคนออกไปและพบทุกสิ่งดังที่พระองค์ทรงบอกไว้จึงเตรียมปัสกา
ลก 22:14-18 อาหารค่ำมื้อสุดท้าย
(14) เมื่อถึงเวลา พระเยซูเจ้าประทับที่โต๊ะพร้อมกับบรรดาอัครสาวก
(15) พระองค์ตรัสกับเขาว่า‘เราปรารถนาอย่างยิ่งจะกินปัสกาครั้งนี้ร่วมกับท่านก่อนจะรับทรมาน
(16) เราบอกท่านทั้งหลายว่าเราจะไม่กินปัสกาอีกจนกว่าปัสกานี้จะเป็นความจริงในพระอาณาจักรของพระเจ้า’
(17) พระองค์ทรงหยิบถ้วยขึ้นทรงขอบพระคุณตรัสว่า‘จงรับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่มเถิด
(18) เราบอกท่านทั้งหลายว่าตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มเหล้าจากผลองุ่นอีกจนกว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง’
ลก 22:19-20 การตั้งศีลมหาสนิท
(19) พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า
‘นี่เป็นกายของเราที่ถูกมอบเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด’
(20) ในทำนองเดียวกัน เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยตรัสว่า‘ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเราที่หลั่งเพื่อท่านทั้งหลาย’
ลก 22:21-23 พระเยซูเจ้าตรัสถึงการทรยศของยูดาส
(21) ‘ผู้ทรยศต่อเราอยู่ที่นี่ ร่วมโต๊ะกับเราด้วย
(22) บุตรแห่งมนุษย์กำลังจะจากไปตามที่กำหนดไว้ วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์
(23) บรรดาศิษย์จึงถามกันว่าพวกเขาคนใดจะทำการนี้
ลก 22:24-27 ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุด
(24) บรรดาศิษย์โต้เถียงกันว่า ในกลุ่มของตนผู้ใดควรได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุด
(25) พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า ‘กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น
และผู้มีอำนาจเรียกตนเองว่าเจ้าบุญนายคุณ
(26) แต่ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นเช่นนั้นท่านที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจงทำตนเป็นผู้น้อยที่สุด
ผู้ที่เป็นผู้นำจงเป็นผู้รับใช้
(27) ใครเล่ายิ่งใหญ่กว่ากัน ผู้ที่นั่งโต๊ะหรือผู้รับใช้ มิใช่ผู้ที่นั่งโต๊ะดอกหรือ
แต่เราอยู่ในหมู่ท่านเหมือนเป็นผู้รับใช้จริง ๆ”
ลก 22:28-30 พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานรางวัลแก่บรรดาอัครสาวก
(28) ‘ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่กับเราในการทดลองที่เราได้รับ
(29) เราจัดพระอาณาจักรให้ท่านทั้งหลายดังที่พระบิดาทรงจัดไว้ให้เรา
(30) ท่านจะได้กินและดื่มร่วมโต๊ะกับเราในพระอาณาจักรและจะนั่งบนบัลลังก์พิพากษาอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูล
ลก 22:31-34 พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
(31) ‘ซีโมนซีโมนจงฟังเถิดซาตานได้ขอและพระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดสอบท่านทั้งหลายเหมือนฝัดข้าวสาลี
(32) แต่เราอธิษฐานอ้อนวอนเพื่อท่านให้ความเชื่อของท่านมั่นคงตลอดไป และเมื่อท่านกลับใจแล้ว
จงช่วยค้ำจุนพี่น้องของท่านเถิด’
(33) เปโตรทูลตอบว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าพร้อมแล้วที่จะอยู่กับพระองค์แม้จะต้องเข้าคุกหรือจะต้องไปตายพร้อมกับพระองค์’
(34) พระองค์ตรัสว่า‘เปโตรเอ๋ย เราบอกท่านว่า วันนี้ไก่ยังไม่ทันขัน ท่านก็จะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง’
ลก 22:35-38 วิกฤตการณ์ที่จะมาถึง
(35) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า ‘เมื่อเราส่งท่านทั้งหลายไปโดยไม่มีถุงเงิน
ไม่มีย่าม ไม่มีรองเท้า ท่านขาดสิ่งใดบ้าง’
(36) เขาเหล่านั้นตอบว่า ‘ไม่ขาดสิ่งใดเลย’ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘แต่บัดนี้
ผู้ใดมีถุงเงิน จงนำไปด้วย ผู้ใดมีย่ามก็จงนำไปเช่นเดียวกัน ผู้ใดไม่มีดาบ ก็จงขายเสื้อคลุมเพื่อซื้อดาบเถิด
(37) เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้อยคำที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเราว่า “เขาจะถูกนับอยู่ในหมู่คนอธรรม”
จะต้องเป็นความจริง’
(38) บรรดาศิษย์ทูลว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่มีดาบสองเล่ม” พระองค์ตรัสว่า ‘พอแล้ว’
ลก 22:39-46 ภูเขามะกอกเทศ
(39) พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นไปยังภูเขามะกอกเทศเช่นเคย บรรดาศิษย์ตามเสด็จไปด้วย
(40) เมื่อเสด็จถึงที่นั่นแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาเหล่านั้นว่า ‘จงอธิษฐานภาวนาเถิด
เพื่อจะไม่ถูกทดลอง’
(41) แล้วพระองค์เสด็จห่างออกไปจากบรรดาศิษย์ประมาณระยะปาก้อนหิน ทรงคุกเข่าลงอธิษฐานภาวนาว่า
(42) ‘พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ โปรดทรงนำถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด
แต่อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด’
(43) ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏมาถวายพละกำลังแด่พระองค์
(44) พระองค์ทรงอยู่ในความทุกข์กังวลอย่างสาหัสจึงทรงอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นยิ่งขึ้นพระเสโทตกลงบนพื้นดินประดุจหยดโลหิต
(45) พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการอธิษฐานภาวนา เสด็จไปพบบรรดาศิษย์ซึ่งหลับอยู่เพราะความโศกเศร้า
(46) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘นอนหลับทำไม จงลุกขึ้นอธิษฐานภาวนาเถิดเพื่อจะไม่ถูกทดลอง’
ลก 22:47-53 พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม
(47) ขณะที่พระเยซูเจ้าตรัสอยู่นั้น คนหมู่หนึ่งก็มาถึง ยูดาสหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคนเป็นผู้นำ
ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้าเพื่อจุมพิตพระองค์
(48) พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘ยูดาส ท่านใช้การจุมพิตเพื่อทรยศบุตรแห่งมนุษย์หรือ’
(49) เมื่อบรรดาศิษย์ที่อยู่กับพระองค์เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ทูลว่า ‘พระเจ้าข้า
พวกเราใช้ดาบฟันได้ไหม’
(50) แล้วศิษย์คนหนึ่งได้ฟันผู้รับใช้ของหัวหน้าสมณะตัดใบหูข้างขวาของเขา
(51) แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘หยุดเถิด พอแล้ว’ ทรงสัมผัสหูและทรงรักษาเขา
(52) พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาหัวหน้าสมณะ นายทหารผู้รักษาพระวิหารและบรรดาผู้อาวุโสซึ่งมาจับกุมพระองค์ว่า
‘เราเป็นโจรหรือ ท่านทั้งหลายจึงถือดาบ ถือไม้ตะบองมาจับเรา”
(53) เราอยู่กับท่านทุกวันในพระวิหาร ท่านก็ไม่จับกุมเราเลย แต่นี่เป็นเวลาของท่าน
เป็นอำนาจของความมืด’
ลก 22:54-62 เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้า
(54) เขาทั้งหลายจับกุมพระเยซูเจ้าและนำพระองค์เข้าไปในบ้านของมหาสมณะเปโตรติดตามไปห่าง
ๆ
(55) คนในบ้านมหาสมณะก่อไฟขึ้นที่กลางลานบ้าน เปโตรจึงเข้าไปนั่งรวมอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย
(56) หญิงรับใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งข้างกองไฟจึงจ้องหน้า พูดว่า ‘คนนี้อยู่กับเขาด้วย’
(57) แต่เปโตรปฏิเสธว่า ‘นางเอ๋ย ข้าพเจ้าไม่รู้จักเขา’
(58) ต่อมาไม่นาน อีกคนหนึ่งเห็นเปโตร จึงพูดว่า ‘ท่านเป็นคนหนึ่งในพวกเขาด้วย’
แต่เปโตรตอบว่า ‘ไม่ใช่ดอก เพื่อนเอ๋ย’
(59) หนึ่งชั่วโมงต่อมา อีกคนหนึ่งพูดย้ำว่า ‘แน่ทีเดียว คนคนนี้อยู่กับเขาด้วย
เพราะเป็นชาวกาลิลี’
(60) แต่เปโตรตอบว่า‘เพื่อนเอ๋ย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร’ เปโตรพูดยังไม่ทันขาดคำ
ไก่ก็ขัน
(61) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหลียวมามองเปโตร เปโตรจึงระลึกถึงพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสกับเขาว่า
‘วันนี้ ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง
(62) เปโตรจึงออกไปข้างนอก ร้องไห้อย่างขมขื่น
ลก 22:63-65 บรรดาทหารเยาะเย้ยพระเยซูเจ้า
(63) ผู้ที่ควบคุมพระเยซูเจ้าสบประมาทเยาะเย้ยและทุบตีพระองค์
(64) เอาผ้าปิดพระเนตรและทูลถามพระองค์ว่า ‘ทายซิว่า ใครตีเจ้า’
(65) เขายังได้พูดกล่าวร้ายพระองค์อีกมากมาย
ลก 22:66-71 พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว
(66) ครั้นรุ่งเช้า บรรดาผู้อาวุโสหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ร่วมประชุมกัน สั่งให้นำพระองค์มาอยู่ต่อหน้าสภาสูง
(67) และพูดว่า ‘ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด’ พระองค์ตรัสตอบว่า ‘ถ้าเราบอกท่าน
ท่านก็ไม่เชื่อ
(68) ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ
(69) ตั้งแต่บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์จะประทับ ณ เบื้องขวาพระอานุภาพของพระเจ้า
(70) ทุกคนจึงพูดว่า ‘ดังนั้น ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าใช่ไหม’ พระองค์ตรัสตอบว่าท่านพูดเองนะว่าเราเป็น’
(71) คนเหล่านั้นจึงพูดว่า ‘เราจะต้องการพยานอะไรอีก เราได้ยินจากปากของเขาแล้ว’
พระเยซูเจ้าต่อหน้าปีลาต
พระเยซูเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์เฮโรด
พระเยซูเจ้าต่อหน้าปีลาตอีกครั้งหนึ่ง
ทางไปสู่ที่ประหาร
พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
พระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนทรงถูกเยาะเย้ย
ผู้ร้ายกลับใจ
พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์
หลังจากสิ้นพระชนม์
การฝังพระศพของพระเยซูเจ้า
ลก 23:1
23(1) ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น นำพระองค์ไปมอบให้ปีลาต
ลก 23:2-7 พระเยซูเจ้าต่อหน้าปีลาต
(2) เขาเหล่านั้นตั้งข้อกล่าวหาพระองค์โดยพูดว่า “เราพบคนคนนี้ยุยงประชาชนของเรา
ห้ามเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิ และอ้างว่าตนเป็นพระคริสต์ กษัตริย์”
(3) ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ’ พระองค์ตรัสตอบว่า
‘ท่านพูดเองนะ’
(4) ปีลาตจึงพูดกับบรรดาหัวหน้าสมณะและประชาชนว่า ‘เราไม่พบความผิดข้อใดในคนคนนี้’
(5) แต่พวกเขาย้ำอีกว่า ‘เขาก่อกวนประชาชน เที่ยวสั่งสอนทั่วแคว้นยูเดีย โดยเริ่มตั้งแต่แคว้นกาลิลีจนถึงที่นี่’
(6) เมื่อปีลาตได้ยินดังนี้จึงถามว่า “คนนี้เป็นชาวกาลิลีหรือไม่”
(7) เมื่อทราบว่าพระองค์ทรงอยู่ในอำนาจของกษัตริย์เฮโรด จึงส่งพระองค์ไปให้กษัตริย์เฮโรด
ซึ่งในขณะนั้นประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
ลก 23:8-12 พระเยซูเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์เฮโรด
(8) เมื่อกษัตริย์เฮโรดทอดพระเนตรเห็นพระเยซูเจ้า ก็ทรงยินดีมาก เพราะทรงได้ยินเรื่องต่าง
ๆ เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า มีพระประสงค์จะเห็นพระองค์มานานแล้ว และทรงหวังจะได้เห็นอัศจรรย์จากพระเยซูเจ้าบ้าง
(9) กษัตริย์เฮโรดตรัสถามพระเยซูเจ้าหลายเรื่อง แต่พระเยซูเจ้ามิได้ทรงตอบแต่ประการใด
(10) บรรดาหัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ซึ่งอยู่ที่นั่นร่วมกันกล่าวหาพระเยซูเจ้าอย่างรุนแรง
(11) กษัตริย์เฮโรดพร้อมกับบรรดาทหารสบประมาทเยาะเย้ยพระเยซูเจ้า ให้พระองค์สวมเสื้อสีฉูดฉาดและส่งกลับไปมอบให้ปีลาต
(12) กษัตริย์เฮโรดและปีลาตซึ่งแต่ก่อนเป็นศัตรูกัน ก็กลับเป็นเพื่อนกัน
ลก 23:13-25 พระเยซูเจ้าต่อหน้าปีลาตอีกครั้งหนึ่ง
(13) ปีลาตเรียกประชุมบรรดาหัวหน้าสมณะ บรรดาผู้นำและประชาชน
(14) แล้วพูดกับเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายนำชายผู้นี้มาหาเราในฐานะเป็นผู้ยุยงประชาชนให้กบฏเราไต่สวนเขาต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว
แต่ไม่พบว่าเขามีความผิดประการใดตามที่ท่านกล่าวหา
(15) กษัตริย์เฮโรดก็ไม่ทรงพบความผิดประการใดด้วย จึงทรงส่งเขากลับมาให้เราอีก
ท่านก็เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้ทำผิดที่ควรจะมีโทษถึงตาย
(16) เพราะฉะนั้นเราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วปล่อยไป’
(17)
(18) แต่ประชาชนร้องตะโกนพร้อมกันว่า ‘ฆ่าเขาเสีย ปล่อยบารับบัสให้เรา’
(19) บารับบัสผู้นี้ถูกจำคุกเพราะก่อการจลาจลในเมืองและฆ่าคน
(20) ปีลาตตัองการปล่อยพระเยซูเจ้า จึงพูดกับประชาชนอีก
(21) แต่คนเหล่านั้นร้องตะโกนกลับมาว่า ‘เอาไปตรึงกางเขน’ เอาไปตรึงกางเขน’
(22) ปีลาตพูดกับประชาชนเป็นครั้งที่สามว่า ‘เขาทำผิดอะไร เราไม่พบว่าเขาทำผิดอะไรที่ควรจะมีโทษถึงตาย
ดังนั้น เราจะให้เฆี่ยนเขาและปล่อยไป’
(23) แต่ประชาชนยังคงตะโกนเสียงดังต่อไป ขอให้เอาพระองค์ไปตรึงกางเขน และเสียงของประชาชนดังขึ้น
ๆ
(24) ปีลาตจึงตัดสินให้เป็นไปตามคำเรียกร้องของประชาชน
(25) ปล่อยคนที่ถูกจำคุกเพราะก่อการจลาจลและฆ่าคน และมอบพระเยซูเจ้าให้เขาจัดการตามความพอใจ
ลก 23:26-32 ทางไปสู่ที่ประหาร
(26) ขณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไป พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนซึ่งกำลังกลับจากชนบท
วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า
(27) ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไปรวมทั้งสตรีกลุ่มหนึ่งซึ่งข้อนอกคร่ำครวญถึงพระองค์
(28) พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทางสตรีเหล่านี้ ตรัสว่า ‘ธิดาเยรูซาเล็มเอ๋ย
อย่าร้องไห้สงสารเราเลย แต่จงร้องไห้สงสารตนเองและลูก ๆ เถิด
(29) เพราะวันนั้นจะมาถึง เมื่อประชาชนจะพูดว่า “หญิงที่เป็นหมัน ครรภ์ที่มิได้ให้กำเนิดบุตร
และนมที่มิได้เลี้ยงลูกก็เป็นสุข”
(30) เวลานั้นประชาชนจะพูดกับภูเขาว่า“จงถล่มลงมาทับเราเถิด” และพูดกับเนินเขาว่า
“จงกลบเราไว้เถิด”
(31) เพราะถ้าเขาทำกับไม้สดเช่นนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับไม้แห้งเล่า’
(32) บรรดาทหารนำผู้ร้ายสองคนไปประหารพร้อมกับพระองค์ด้วย
ลก 23:33-34 พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
(33) เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่าเนินหัวกระโหลก บรรดาทหารตรึงพระองค์ที่นั่นพร้อมกับผู้ร้ายสองคน
คนหนึ่งอยู่ข้างขวาและอีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย
(34) พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร’ทหารนำเสื้อผ้าของพระองค์ไปจับสลากแบ่งกัน
ลก 23:35-38 พระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนทรงถูกเยาะเย้ย
(35) ประชาชนยืนดูอยู่ที่นั่น ส่วนบรรดาผู้นำเยาะเย้ยพระองค์ว่า ‘เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้
ก็ให้เขาช่วยตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร’
(36) แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขานำเหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย
(37) พลางกล่าวว่า ‘ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้รอดพ้นซิ’
(38) มีคำเขียนไว้เหนือพระองค์ว่า ‘ผู้นี้คือกษัตริย์ของชาวยิว’
ลก 23:39-43 ผู้ร้ายกลับใจ
(39) ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พูดดูหมิ่นพระองค์ว่า ‘แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือจงช่วยตนเองและช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ’
(40) แต่อีกคนหนึ่งดุเขากล่าวว่า ‘แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับโทษเดียวกัน
(41) สำหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระทำของเรา แต่ท่านผู้นี้มิได้ทำผิดเลย’
(42) แล้วเขาทูลว่า ‘ข้าแต่พระเยซู โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์’
(43) พระองค์ตรัสตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะอยู่กับเราในสวรรค์’
ลก 23:44-46 พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์
(44) ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน ทั่วแผ่นดินมืดไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมง
(45) เพราะดวงอาทิตย์มืดลง ม่านในพระวิหารฉีกขาดตรงกลาง
(46) พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์
ลก 23:47-49 หลังจากสิ้นพระชนม์
(47) เมื่อนายร้อยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า พูดว่า‘ชายคนนี้เป็นผู้ชอบธรรมแน่ทีเดียว’
(48) ประชาชนที่มาชุมนุมกันดูเหตุการณ์นี้ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ข้อนอก พากันกลับไป
(49) ทุกคนที่รู้จักคุ้นเคยพระองค์ รวมทั้งบรรดาสตรีที่ติดตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีต่างยืนอยู่ห่าง
ๆ คอยดูเหตุการณ์นี้
ลก 23:50-56 การฝังพระศพของพระเยซูเจ้า
(50) ชายคนหนึ่งชื่อ โยเซฟเป็นสมาชิกในสภาสูงของชาวยิว เป็นคนดีและชอบธรรม
(51) เขาไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภา เขามาจากเมืองอาริมาเธียเมืองหนึ่งของชาวยิวและรอคอยพระอาณาจักรของพระเจ้า
(52) ชายผู้นี้ไปพบปีลาตขอพระศพของพระเยซูเจ้า
(53) เขาเชิญพระศพลงมา เอาผ้าป่านห่อไว้ นำไปวางไว้ในคูหาซึ่งขุดไว้ในหิน คูหานั้นยังไม่เคยบรรจุศพผู้ใดเลย
(54) วันนั้นเป็นวันเตรียมสมโภชและวันสับบาโตกำลังเริ่มแล้ว
(55) บรรดาสตรีที่มากับพระองค์จากแคว้นกาลิลี ได้ตามโยเซฟไปด้วย เห็นพระคูหา และสังเกตดูว่าพระศพวางไว้อย่างไร
(56) บรรดาสตรีจึงกลับไป จัดเตรียมเครื่องหอมและน้ำมันหอม แต่ในวันสับบาโตเขาหยุดพักตามบทบัญญัติ
VII หลังการกลับคืนพระชนมชีพ
พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์
อัครสาวกไม่ยอมเชื่อสตรี
เปโตรไปที่พระคูหา
การเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส
พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาอัครสาวก
คำแนะนำสุดท้ายแก่บรรดาอัครสาวก
การเสด็จสู่สวรรค์
หลังการกลับคืนพระชนมชีพ
ลก 24:1-8 พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์
24(1) ตั้งแต่เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์บรรดาสตรีนำเครื่องหอมที่เตรียมไว้มาที่พระคูหา
(2) เขาพบว่าก้อนหินถูกกลิ้งออกไปจากพระคูหาแล้ว
(3) เมื่อเข้าไปในพระคูหาก็ไม่พบพระศพของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า
(4) ขณะที่บรรดาสตรีประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ บุรุษสองคนสวมเสื้อที่เป็นประกายรุ่งโรจน์ยืนอยู่ใกล้
ๆ
(5) สตรีเหล่านั้นตกใจกลัวและก้มหน้าลงมองพื้นดิน แต่บุรุษทั้งสองคนพูดว่า ‘ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า
(6) พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว จงระลึกถึงพระวาจาที่พระองค์ตรัสกับท่านขณะที่ยังประทับอยู่ในแคว้นกาลิลี
(7) ว่า บุตรแห่งมนุษย์จำต้องถูกมอบในเงื้อมมือของคนบาป จะต้องถูกตรึงกางเขนและจะกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม’
(8) บรรดาสตรีจึงระลึกถึงพระวาจาของพระองค์ได้
ลก 24:9-11 อัครสาวกไม่ยอมเชื่อสตรี
(9) เมื่อกลับจากพระคูหาแล้ว บรรดาสตรีเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้อัครสาวกสิบเอ็ดคนและกับศิษย์ทุกคน
(10) สตรีเหล่านี้คือมารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา และมารีย์มารดาของยากอบ สตรีอื่น
ๆ ที่ไปพร้อมกันก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้อัครสาวกฟังด้วย
(11) แต่เขาคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวไหลและไม่เชื่อ
ลก 24:12-12 เปโตรไปที่พระคูหา
(12) เปโตรวิ่งไปที่พระคูหา ก้มลงดู เห็นแต่ผ้าห่อพระศพเท่านั้น จึงกลับมาบ้านและประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ลก 24:13-35 การเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส
(13) วันนั้น ศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ
11 กิโลเมตร
(14) ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
(15) ขณะที่กำลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย
(16) แต่เขาจำพระองค์ไม่ได้เหมือนดวงตาถูกปิดบัง
(17) พระองค์ตรัสถามว่า ‘ท่านสนทนากันเรื่องอะไรตามทาง ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง
(18) ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า 'ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้’
(19) พระองค์ตรัสถามว่า ‘เรื่องอะไรกัน’เขาตอบว่า ‘ก็เรื่องพระเยซู ชาวนาซาเร็ธประกาศกทรงอำนาจในกิจการและคำพูดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง
(20) บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน
(21) เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
(22) สตรีบางคนในกลุ่มของเราทำให้เราประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาไปที่พระคูหาตั้งแต่เช้าตรู่
(23) เมื่อไม่พบพระศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่
(24) บางคนในกลุ่มของเราไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์’
(25) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า 'เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศกกล่าวไว้
(26) พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ’
(27) แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก
(28) เมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป
พระองค์ทรงทำท่าว่าจะทรงพระดำเนินเลยไป
(29) แต่เขาทั้งสองรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว’
พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา
(30) ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้เขา
(31) เขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของเขา
(32) ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า ‘ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง
และอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง’
(33) เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำลังชุมนุมกันอยู่กับศิษย์อื่น
ๆ
(34) เขาเหล่านี้บอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริง ๆ และทรงสำแดงพระองค์แก่ซีโมน’
(35) ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำพระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง
ลก 24:36-43 พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาอัครสาวก
(36) ขณะที่บรรดาศิษย์สนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า
‘สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด’
(37) เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี
(38) แต่พระองค์ตรัสว่า ‘ท่านวุ่นวายใจทำไม เพราะเหตุใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ
(39) จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริง ๆ จงคลำตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ
ไม่มีกระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี’
(40) ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท
(41) เขายินดีและแปลกใจจนไม่อยากเชื่อ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า ‘ท่านมีอะไรกินบ้าง’
(42) เขาถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์
(43) พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา
ลก 24:44-49 คำแนะนำสุดท้ายแก่บรรดาอัครสาวก
(44) หลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘นี่คือความหมายของถ้อยคำที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับท่าน
ทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง’
(45) แล้วพระองค์ทรงทำให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์
(46) ตรัสว่า ‘มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม
(47) จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม
(48) ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้
(49) ‘บัดนี้ เรากำลังจะส่งพระผู้ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้มาเหนือท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพจากเบื้องบนปกคลุมไว้’
ลก 24:50-53 การเสด็จสู่สวรรค์
(50) พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพระพร
(51) และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์
(52) บรรดาศิษย์กราบนมัสการพระองค์แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง
(53) เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า