บทที่ 4 พระบัญญัติ ข้อปฏิบัติ
บัญญัติ 10 ประการ l ข้อปฏิบัติชีวิตคริสตชน l การปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ l บทภาวนาพื้นฐานของคริสตชน l

 

(การดำเนินชีวิตคริสตชน ในการภาวนา และการปฏิบัติศาสนกิจ)

พระเจ้าประทานพระบัญญัติ 10 ประการแก่เรา ผ่านทางโมเสส (อพยพ 20; ฉธบ.5)

พระบัญญัติ 10 ประการ

1. จงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า

พระเจ้าผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตและรู้ว่าพระเจ้ารักเรา บัญญัติข้อ 1 ต้องการให้เราจดจำว่าพระองค์เอาใจใส่ดูแลเราเสมอ บางครั้งเราลืมพระสัญญาของพระเจ้าและไปยึดบุคคลอื่น หรือสิ่งของอื่น ๆ ว่ามีความสำคัญมากกว่าพระเจ้า

2. อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ

จงรัก และให้เกียรติพระนามของพระเจ้า อย่าประมาทชื่อของใคร โดยเฉพาะอย่าประมาทนามของพระเจ้า สิ่งที่เราสามารถปฏิบัติ คือออกพระนามพระเจ้าด้วยความเคารพ ภาวนาวอนขอต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อ ความศรัทธา

3. วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองเป็นวันศักดิ์สิทธิ์

วันของพระเจ้า เพื่อชีวิตฝ่ายจิตของเรา วันนี้เราไปวัดพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว และเพื่อน ๆ ของเราในวันอาทิตย์ เราได้ฟังพระวาจา มีส่วนร่วมในการรับศีลมหาสนิท และภาวนาพร้อมกับพี่น้องของเรา ก็เป็นอาหารหล่อเลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

4. จงนับถือบิดามารดา

พระเจ้าให้บิดามารดา มีส่วนร่วมในงานสร้างสรรค์พิเศษนี้กับพระองค์ และให้บิดามารดามอบความรักของพระองค์ ด้วยการเอาใจใส่ดูแลเรา จากความรักที่บิดามารดามีต่อกัน บิดามารดาเป็นคนแรกที่สอนเราว่า พระเจ้าเป็นใคร พระเจ้ารักเราอย่างไร ฉะนั้นบิดามารดาต้องได้รับเกียรติ และให้ความเคารพนับถือด้วย

5. อย่าฆ่าคน

ชีวิตเป็นของล้ำค่า เป็นสิ่งที่ต้องรักษาและให้เกียรติ เมื่อเรายกย่องให้เกียรติผู้อื่น เมื่อเราไม่ทำลายความสุขความยินดีของผู้อื่น เมื่อเราไม่ทำร้ายกัน เราต้องยอมรับว่าชีวิตผู้อื่นก็มีคุณค่าเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน

6. อย่าทำลามก

ส่วนใหญ่สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว เมื่อชายหญิงแต่งงานกัน เขาทั้งสองสัญญาที่จะผูกพันชีวิตด้วยกันทั้งร่างกาย และวิญญาณ จะต้องถือคำมั่นสัญญานี้ สำหรับคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน เราต้องให้เกียรติ และยกย่องร่างกายของเราและผู้อื่นด้วย ทั้งการพูด การกระทำ สิ่งที่ฟังและทุกสิ่งที่คิด

7. อย่าลักขโมย

การขโมยของจากคนอื่น เป็นการทำร้าย เป็นความเห็นแก่ตัวและเป็นความผิด ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติของตน เราทุจริตที่ทำงาน คดโกงเวลา เราก็เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เราต้องไม่เอาของที่เป็นของคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต

8. อย่าใส่ความนินทา

ความจริงนำมาซึ่งความสุข การโกหกหลอกลวง นำผลร้ายและความเศร้าเสียใจ เมื่อเราโกหก เราทำลายความน่านับถือในตัวเรา เมื่อเราละเมิดความลับ หรือคำสัญญาที่ให้ไว้ แม้เป็นเรื่องจริง เราทำร้ายเขาและทำร้ายตัวเราเอง

9. อย่าปลงใจในความลามก

จงให้เกียรติภรรยาของเพื่อนบ้าน พระเจ้าไม่ต้องการให้สามีหรือภรรยา นำความรักและความสุขไปมอบให้กับคนอื่น โดยผิดต่อความซื่อสัตย์ หรือให้ผู้อื่นไปยุ่งเกี่ยวข้องอย่างผิด ๆ ด้วย จงรักษาความคิด จิตใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ

10. อย่ามักได้ทรัพย์ของเขา

จงเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น อย่าอิจฉา หรือมักได้ทรัพย์ของผู้อื่น เราอย่าอิจฉาในสิ่งที่คนอื่นมี เราควรมีความสุขสำหรับสิ่งของที่คนอื่นมี และขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งของ และพรสวรรค์ที่เราได้รับจากพระองค์

สรุปบัญญัติที่สำคัญที่สุด

พระเยซูเจ้า ได้สรุปพระบัญญัติเอกที่สำคัญที่สุดคือ รักพระเจ้าสุดจิตใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง (มธ. 22:37; มก. 12:30; ลก. 10:27) (กลับด้านบน)

 

ข้อปฏิบัติชีวิตคริสตชน

"เราพูดกับพระ เมื่อเราภาวนา
เราฟังพระองค์เมื่อเราอ่านพระวาจาของพระเจ้าฯ (น.อัมโบรส)

การภาวนา คือ การยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า เพื่อสนทนากับพระองค์ มี 2 ลักษณะคือ

1. การภาวนาจากใจ

หมายถึง การสวดภาวนาส่วนตัว โดยพูดกับพระเจ้าในใจ คิดถึงพระองค์ บางครั้งออกมาในรูปของการอ่านพระคัมภีร์ และรำพึงไตร่ตรอง พระวาของพระ ที่ตรัสกับเราในพระคัมภีร์ การภาวนาจากใจเช่นนี้ต้องมีการฝึกหัด และพัฒนาจิตใจให้จดจ่อกับพระเจ้าอยู่เสมอ ผู้ที่หมั่นพัฒนาจิตใจ จะสวดภาวนาได้ทุกสถานการณ์ของชีวิต

2. การภาวนาตามบทสวดที่พระศาสนจักรแต่งขึ้น

หมายถึง การที่บางครั้งเราไม่ทราบว่าจะพูดว่าอะไร หรือสวดอย่างไรกับพระเจ้า ก็มีบทภาวนาที่พระศาสนจักรแต่งขึ้น ขณะสวดก็คิดตามความหมายเหล่านั้น คริสตชนควรสวดภาวนาบ่อย ๆ ตลอดช่วงวันในแต่ละขณะของชีวิต หรือแม้ว่าในการทำกิจการงานต่าง ๆ การเดินทางเวลาก่อนและหลังทานอาหารหรือพักผ่อน หรือแม้กระทั่งอยู่ในภาวะอันตรายของชีวิต

การศึกษาพระคัมภีร

"การไม่รู้พระคัมภีร์ ก็เป็นการไม่รู้จักพระคริสตเจ้า" (น. เยโรม)

พระคัมภีร์ คือ พระวาจาและลมปราณของพระเจ้า ทำให้เราทราบพระประสงค์ของพระองค์ คริสตชนจึงควรศึกษาพระวาจาของพระองค์ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และควรอ่านพระคัมภีร์ ด้วยความรู้สึกว่า พระเจ้าทรงพูดกับเรา

การเข้าร่วมพิธีมิสซาฯ ทุกวันอาทิตย์ และวันฉลองต่าง ๆ

1. บทบาทของการนมัสการร่วมกัน

เพราะชาวคาทอลิกมิใช่เพียงรักแต่พระเจ้า แต่ต้องรักเพื่อนมนุษย์ และต้องรักเพื่อนมนุษย์ ในความรักของพระเจ้า อีกทั้งยังเป็นการฝึกฝนให้มีการพึ่งพาอาศัยกันอีกด้วย โดยแต่ละคนปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ตามพระพรแห่งกระแสเรียกที่เราได้รับ

2. พระเยซูทรงเชื้อเชิญให้คริสตชนเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

มีส่วนในภารกิจของพระองค์ โดยการอุทิศตนเสียสละทำความดี อดทนในความทุกข์ยากลำบากด้วยความหวัง และคริสตชนมีสิทธิ์จะถือว่าตนมีส่วนร่วมในการเขนพร้อมกับพระองค์ ในชีวิตประจำวันของเรา

(กลับด้านบน)

 

 

 

การปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์

1. ความรัก

1.1 ความรักเพื่อนมนุษย์

เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน มีพระเจ้าเป็นพระบิดาองค์เดียวกัน เราจึงต้องรักกันและกัน ไม่คิดร้ายต่อผู้ใด สวดภาวนาให้เพื่อนพี่น้องด้วย "นี่คือบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน ไม่มีความรักใดใหญ่หลวงกว่าการพลีชีพของตน เพื่อมิตรสหาย ท่านจะเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำตามที่เราสั่ง" (ยน 15:12-13)

1.2 การรักศัตรู (มธ. 5:43-44)

โดยการสวดภาวนาอธิษฐานให้พระเจ้าได้ประทานพรแก่เขาเพื่อว่าวันหนึ่ง เขาจะได้กลับใจเป็นคนดี แยกแยะว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดและมีชีวิตที่เป็นสุข

2. การให้อภัย

คือกุญแจที่จะนำเราไปสู่ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เราต้องรู้จักให้อภัยคนอื่น ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำร้ายต่อท่านจะมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติก่อนที่พระเจ้าจะให้อภัยกับตน "ถ้าท่านยกโทษความผิดให้แก่เพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะทรงโปรดยกโทษความผิดให้ด้วย" (มธ. 6:14)

3. การทำกิจเมตตาปราณี

ได้แก่ การช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องอย่างเท่าเทียมกัน ตามกำลังความสามารถ โดยเฉพาะผู้ที่ยากจน หิวโหย คนไร้ที่อยู่อาศัย คนพิการ หรือคนเจ็บไข้ได้ป่วย "จงแบ่งปันอาหารให้กับผู้ที่หิว และนำคนยากจนไร้ที่อยู่เข้ามาในบ้าน เมื่อเจ้าเห็นคนไม่มีเครื่องนุ่มห่ม ก็จงให้เสื้อผ้าคลุมกายเขาไว้ และไม่เบือนหน้าหนีไปจากญาติของเจ้า" (อสย. 58:7-10; มธ.25:35-36)

"พี่น้อง ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แ]ะที่รักของพระองค์ ท่านจงประดับตนด้วยความเมตตากรุณา อ่อนหวาน ถ่อมตน และอดทน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดพ้องหมองใจกัน จงยกโทษให้กันเสีย พระเจ้าทรงอภัยความผิดให้แก่ท่านอย่างไร ท่านจงอภัยให้กับเขาอย่างนั้น" (คส 3:12-14)

4. การประกาศพระวรสาร หรือข่าวดีแห่งความรอด

คือ การนำพระวาจาของพระเจ้าออกเผยแพร่ หรือบอกให้คนที่ยังไม่รู้จัก หรือที่รู้จักอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้นำไปปฏิบัติในชีวิตจริง ได้นำไปปฏิบัติกับชีวิตจริงของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อจะเกิดผลดีต่อชีวิต ซึ่งมีองค์ประกอบของการประกาศพระวรสารดังนี้

4.1 การภาวนา

การประกาศพระวรสารเป็นงานของพระจิตเจ้า ไม่ใช่งานของมนุษย์โดยตรง มนุษย์เป็นแค่เพียงผู้ร่วมงานของงานประกาศพระวรสารเท่านั้น โดยพระจิตเจ้าอาศัยมนุษย์ หรือปากของมนุษย์ที่จะทำงานเผยแพร่พระวาจาของพระองค์แทนการภาวนา จึงต้องทำทุกครั้งก่อนการออกไปประกาศพระวรสาร ตลอดเวลาที่ออกไปประกาศพระวรสาร และหลังจากการประกาศพระวรสารด้วย เพื่อที่จะได้สามารถทนรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ และมีกำลังใจในการทำงานต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

4.2 การทำตัวเป็นคริสตชนที่ดี

ตามแบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้า มีคุณธรรม และปฏิบัติตามจิตตารมณ์แห่งความรัก และการรับใช้เพื่อความดีกันและกัน

4.3 การนำพระวาจาของพระเจ้าออกไปประกาศ หรือบอกให้คนอื่นทราบ

คือหัวใจของการประกาศพระวรสาร คริสตชนอาจค้นหาพระวาจาของพระเจ้าได้จากพระคัมภีร์ และนำพระวาจาของพระเจ้าออกไปเผยแพร่หรือประกาศให้คนอื่นได้รู้ ตามโอกาส เวลา สถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุกคนที่จะต้องทำด้วยตนเอง เพื่อแผ่ขยายอาณาจักรของพระเจ้าบนโลกนี้ไปจนสุดแผ่นดิน

โดยการประกาศให้กับทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า และพระวาจาของพระองค์ การประกาศพระวรสาร คือการประกาศความรัก ไม่ใช่การประกาศศัตรู หรือทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ต้องเป็นการสร้างมิตรภาพ ความรัก และความรู้สึกที่ดีต่อกัน การประกาศพระวรสารต้องมีพื้นฐานความเชื่อในองค์พระเจ้าอย่างแท้จริง สิ้นสุดจิตใจ ความคิด และกำลังของตนในรากฐานของการประกาศพระวรสาร คือความรัก หวังดี และไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ

(กลับด้านบน)

 

 

 

 

 

บทภาวนาพื้นฐานของคริสตชน

พระเยซูเจ้าทรงมอบบทภาวนาพื้นฐานของคริสตชน คือ
"บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย"
ให้แก่สาวกในการตอบคำขอของบรรดาสาวกที่ว่า

"พระอาจารย์เจ้าข้า ช่วยสอนพวกเราให้ภาวนาด้วยเถิด" (ลก. 11:1)

ข้าแต่พระบิดา

1. ข้าแต่พระบิดา เราสามารถวิงวอนขอพระเจ้าเสมือนเป็น "พระบิดา" เพราะว่า พระบุตรของพระเจ้า ที่กลายเป็นมนุษย์ได้เปิดเผยพระองค์แก่เรา โดยอาศัยศีลล้างบาป ได้รวมเราเข้าด้วยกันและเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า

ของข้าพเจ้าทั้งหลาย

2. เมื่อเรากล่าวว่าพระบิดา "ของข้าพเจ้าทั้งหลาย" เราวิงวอนพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสตเจ้า การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระตรีเอกภาพ และความรักของพระเจ้า ซึ่งแผ่ขยายโดยผ่านทางพระศาสนจักร ได้โอบอุ้มโลกทั้งหมดไว้ด้วย

พระองค์สถิตในสวรรค์

3. สำนวน "สถิตในสวรรค์" นั้น ไม่หมายถึงสถานที่ แต่หมายถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และการประทับอยู่ในดวงใจของผู้ชอบธรรม สวรรค์เป็นบ้านของพระบิดานั้นถือว่าเป็นบ้านที่แท้จริงซึ่งเรากำลังมุ่งไปสู่

คำขอเจ็ดประการ

1. ให้พระนามของพระองค์จงเป็นที่สักการะ
2. พระอาณาจักรจงมาถึง
3. ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย
มีพระสิริของพระบิดาเป็นเป้าหมาย
4. คำขอต่าง ๆ เหล่านี้ที่มุ่งถึงชีวิตของเรา
5. เพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิต
6. รักษาเยี่ยวยาจากบาป
7. ให้ชนะการต่อสู้ขอความดีเหนือความชั่วร้าย
เป็นการเสนอความต้องการของมนุษย์

1. พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ

เราเข้าสู่แผนการของพระเจ้า คือการทำให้พระนามของพระองค์ได้รับการสักการะ ที่เผยแสดงให้แก่โมเสส ต่อมาในพระเยซูเจ้า จากฝ่ายของเราและในเรา เหมือนกับในประชากรมนุษย์ทั้งหลาย

2. พระอาณาจักรจงมาถึง

พระศาสนจักรมุ่งพิจารณาถึงการเสด็จกลับมาของพระคริสตเจ้า และการมาถึงครั้งสุดท้ายแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นสำคัญ

พระศาสนจักร ภาวนาสำหรับการเจริญเติบโตของพระศาสนจักร ใน "วันนี้" แห่งชีวิตของเรา (พระอาณาจักรของพระเจ้า เป็นความชอบธรรม สันติ และความชื่นชมยินดีในพระจิตเจ้า) = (รม. 14:17)

3. ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์

คำสวดแบบใหม่ (พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์)

เราภาวนาขอพระบิดาเจ้าของเรา ให้รวมน้ำใจของเราเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับของพระบุตรของพระองค์ เพื่อให้แผนการแห่งความรอดของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์ในชีวิตของโลก

4. ขอประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้

คำสวดแบบใหม่ (โปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ในวันนี้)

"ข้าพเจ้าทั้งหลาย" คือพระองค์ในฐานะพระบิดาของมนุษย์ทุกคน และเราภาวนาเพื่อทุกคน เราแสดงออกถึงความไว้วางใจในฐานะบุตรต่อพระบิดาของเราบนฟ้าสวรรค์ในสหพันธ์ ร่วมกันกับพี่น้องของเรา "อาหารประจำวัน" หมายถึง อาหารบนแผ่นดินโลกที่จำเป็นสำหรับทุกคนเพื่อเลี้ยงดูตนเอง และยังหมายถึงอาหารทรงชีวิต คือพระวาจาของพระเจ้า (มธ. 4:4) และพระกายของพระคริสตเจ้าที่ได้รับในศีลมหาสนิท (ยน 6:26-58) อาหารนี้รับใน "วันนี้" เหมือนเช่นอาหารที่จำเป็นสำคัญของงานเลี้ยงแห่งพระอาณาจักรที่กำลังมาถึง และเราลิ้มรสล่วงหน้าอยู่แล้วในบูชาขอบพระคุณ

5. โปรดยกโทษข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้ายกให้ผู้อื่น

คำสวดแบบใหม่ (โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น)

คำว่า "เหมือน" มาจากพระวรสารหลาย ๆ ตอน เช่น ในมธ. 5:48, ในยน.13:34, ใน ลก. 6:36 ที่ว่า "เราขอมอบบัญญัติใหม่แก่ท่านคือ จงรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน ถูกแล้วท่านจงรักกันและกัน" จึงมีลักษณะไม่ใช่เลียนแบบแต่ภายนอก แต่การมีส่วนร่วมที่มีชีวิตชีวา ซึ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ วิงวอนขอพระเมตตากรุณาของพระเจ้า เพราะการกระทำผิดของเรา แต่คำขอนี้ ไม่อาจเข้าถึงดวงใจของเราได้ ถ้าเราไม่รู้จักให้อภัยแก่ศัตรูของเราตามแบบฉบับ และด้วยความช่วยเหลือของพระคริสตเจ้า

6. อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าถูกประจญ

คำสวดแบบใหม่ (โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ)

เราก็ขอพระเจ้าว่า ขอทรงอย่าอนุญาตเราใช้ทางที่นำไปสู่บาป คำขอนี้วิงวอนพระจิตเจ้าแห่งการแยกแยะสิ่งถูกผิด และพละกำลัง และขอพระหรรษทานแห่งการตื่นเฝ้า และพากเพียรจนถึงที่สุด เราชนะการประจญโดยอาศัยการภาวนา

7. แต่โปรดช่วยให้พ้นภัย

คำสวดแบบใหม่ (แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ)

คำขอสุดท้าย คริสตชนภาวนาพร้อมกับพระศาสนจักร ขอพระเจ้าให้ทรงแสดงชัยชนะที่พระคริสตเจ้าได้ทรงทำสำเร็จแล้ว เหนือ "เจ้าแห่งโลกีย์" เหนือซาตานเทวดา ที่ขัดแย้งกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และต่อแผนการแห่งความรอดของพระองค์

จบด้วยคำว่า "อาแมน" เราแสดงถึง "ขอให้เป็นไปตามนั้น" ตามคำขอทั้งเจ็ดของเรา "โปรดให้เป็นไปตามที่ขอเทอญ"

 

Free Web Hosting