นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู

ประวัติย่อของนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู ฉลองวันที่ 1 ตุลาคม

นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู เกิดเมื่อ 2 มกราคม ค.ศ.1873 ที่ถนนแซงต์ แบลส เมืองอาลังซอง (rue de Saint Blaise, Alencon) ประเทศฝรั่งเศส บิดามีอาชีพเป็นช่างนาฬิกา ส่วนมาดาเป็นช่างถักลูกไม้ เธอมีชื่อเดิมว่า เทเรซา มาร์แตง (Therese Martin) และเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวที่มีลูกสาวทั้งหมด 5 คน เธอเข้าอารามคาร์แมลเมื่ออายุ 15 ปี โดยใช้ชื่อว่าเทราซาแห่งพระกุมารเยซู จากนั้นก็มีชีวิตอยู่แต่ในอาราม และได้ถวายวิญญาณไว้ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้าเมื่อมีอายุเพียง 24 ปี เมื่อวันที่ 30กันยายน 1897 เธอเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของนักบินและมิชชันนารีต่างประเทศ

บทความนี้ แปลจากบทเทศน์ของพระคุณเจ้าฟีลิป บอยซ์ (Philip Boyce) พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลราโฟ (Raphoe) ประเทศไอร์แลนด์

พระนางมารีย์ ผู้ทรงเป็นพระมารดาของพระเป็นเจ้า และมารดาของเรา ในสายตาและตามจิตตารมณ์ของนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู พระนางมารีย์คือต้นแบบการรับใช้ผู้อื่นด้วยความกล้าหาญ ยินดีและสัตย์ซื่อในการสวดภาวนายิ่งกว่ามนุษย์ทุกคน พระนางทรงเป็น "แม่วิญญาณ" ของพวกเขา ดังคำสอนของพระศาสนจักรที่ว่า พระนางทรงเป็นมารดาของพวกเขา "ในด้านพระหรรษทาน" (วาติกันที่ 2, Lumen Gentium,61)

 

หนูน้อยเทเรซาคุ้นเคยกับพระนางพรหมจารีมารีอาตั้งแต่เล็ก หลังจากที่มารดาผู้ให้กำเนิดจากโลกนี้ไปตั้งแต่เธอมีอายุได้เพียง 4 ขวบ เธอก็ได้หันไปยึดพระมารดาแห่งสวรรค์เป็นที่พึ่งอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเสียอีก เธอคุกเข่าต่อหน้าพระรูปแม่พระที่พระแท่นของครอบครัว และสวดสายประคำทุกวันพร้อมกับพี่สาวทั้งสี่ เมื่ออายุได้ 10 ขวบ เธอล้มป่วยหนัก แต่ก็ได้หายป่วยอย่างฉับพลันขณะที่กำลังสวดอยู่ต่าหน้าพระรูปนี้

ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ.1883 (ดูเหมือนแม่พระทรงโปรดวันที่ 13 พฤษภาคม เป็นพิเศษ!) ขณะที่เธอกับมารีพี่สาวกำลังสวดอย่างศรัทธาหน้าพระรูปในห้อง พระรูปกลับมีชีวิต เธอเล่าว่า "ทันใดนั้น พระนางพรหมจารีปรากฏพระกายที่งดงามกับดิฉัน พระนางงดงามมากอย่างที่ดิฉันไม่เคยเห็นสิ่งอื่นใดที่งดงามเช่นนั้นมาก่อน พระพักตร์เปี่ยมด้วยพระเมตตาที่หวานละมุนจนไม่อาจลืมเลือนได้ แต่สิ่งที่ฝังลึกที่สุดในใจของดิฉัน คือ รอยยิ้มที่เจิดจรัสของพระนางพรหมจารี" (จากบันทึกวิญญาณ -- Story of a Soul)

ทั้งนี้อาจะเป็นเพราะแม่พระปรารถนาที่จะเตือนเราให้เห็นคุณค่าของการยิ้มที่สุดภาพ แม้จะเป็นการยิ้มเพียงสั้นๆ เมื่อเราพบปะกันในชีวิตประจำวัน รอยยิ้มจึงเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้เป็นมารดา และควรเป็นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานของพระศาสนา

สี่ปีต่อมา ระหว่างการเดินทางไปแสวงบุญที่กรุงโรม เทเรซา ได้แวะเข้าไปสวดภาวนาที่วัดแม่พระที่กรุงปารีส ขณะที่เธอกำลังสวดขอบพระคุณต่อหน้าพระรูปแม่พระ เธอก็รู้สึกมั่นใจในความปรารถนาที่จะเป็นลูกของพระนางมารีย์ เธอบันทึกไว้ว่า "ดิฉันมั่นใจว่า พระนางพรหมจารีมารีอา ทรงกำลังเฝ้ามองดิฉัน ในลักษณะที่ดิฉันเป็นลูกของพระนางอยู่ ดิฉันจึงไม่อาจเรียกพระนางด้วยคำพูดอื่นนอกจากคำว่า "แม่" และการเรียกพระนางเช่นนี้ก็ดูจะเหมาะสมยิ่งกว่าจะเรียกว่า "พระมารดา".... ดิฉันสวดภาวนาต่อแม่พระ ช่วยปกป้องให้ดินฉันอยู่ห่างไกลจากทุกสิ่งที่อาจทำลายความบริสุทธิ์ของดิฉัน"

หากเราสวดภาวนาด้วยความร้อนรนต่อหน้าพระรูปพระมารดา แม่พระก็จะช่วยเสนอคำภาวนาเพื่อให้เราได้รับพระหรรษทานที่จำเป็นที่สุดอย่างแน่นอน พระนางจะประทานพระหรรษทานที่ทรงคุณค่ายิ่งกว่าพระหรรษทานเพื่อชีวิต และการทำงานของเรา ซึ่งได้แก่การประทานความมั่นใจแก่เราว่า พระนางคือมารดาที่แท้จริงของเรา และขอให้นักบุญเทเรซาช่วยเราให้มีร่างกายและจิตใจที่บริสุทธิ์ ขณะที่เรายังอยู่ในโลกแห่งความบาป และความมัวหมอง แม่พระทราบดีถึงวิธีที่จะยิ้มให้กับเรา เป็นรอยยิ้มที่ปลอบขวัญและให้กำลังใจแก่เรา และนำเราไปรับพระพรจากพระเยซู พระบุตรของพระนางในศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพระหรรษทานและความรอดทั้งหลาย

นักบุญเทเรซาให้เรามีความมั่นใจว่า "เราต้องไม่กลัวที่จะรักพระนางพรหมจารีมากเกินไป เพราะเราไม่มีวันจะรักพระนางได้อย่างเพียงพอ และพระเยซูเจ้าจะทรงพอพระทัยกับความรักของเราเช่นนี้ เนื่องจากพระนางพรหมจารีเป็นมารดาของพระองค์

บางครั้ง เราอยากจะแบ่งปันกับผู้อื่น เป็นต้นเมื่อเรารู้สึกหวาดกลัว ดีใจ มีความหวังหรือกำลังมีความทุกข์ร้อนต่างๆ นักบุญเทเรซาสอนเราให้ก้าวหาแม่พระและเล่าทุกสิ่งให้พระนาง เธอเคยกล่าวไว้ว่า "ดิฉันชอบปิดบังความเจ็บปวดไว้ไม่ให้พระเจ้าทรงทราบ เพราะดิฉันชอบอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ในลักษณะที่ดินฉันกำลังมีความสุขกับทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้ แต่ดิฉันจะไม่ปกปิดสิ่งใดๆ กับแม่พระเลย ดิฉันพูดคุยสนทนากับแม่พระได้ทุกเรื่อง" พวกเราก็เช่นกัน สามารถเลียนแบบความเรียบง่ายแบบเด็กเช่นนี้ได้ และกล้าที่จะประจันความเชื่อมั่นเช่นนี้กับนักบุญเทเรซาแห่งลีซีเออษ์ เธอมิได้ปฏิบัติตนในลักษณะเป็นผู้รับใช้แม่พระเท่าใดนัก แต่ปฏิบัติตนในลักษณะที่เป็นลูกของพระนางมากกว่า และถือว่าแม่พระเป็นแม่ที่ใกล้ชิด มิใช่เป็นพระราชินีที่เข้าถึงได้ยาก

ในจดหมายที่เธอเขียนถึงพี่เซลิน เธอเล่าเรื่องส่วนตัวต่างๆ ที่เธอสนทนากับแม่พระอย่างผู้ที่คุ้นเคยกัน "บางครั้ง น้องก็อดประหลาดใจตัวเองไม่ได้ ที่พูดกับแม่พระว่า 'แม่แห่งพรหมจารีผู้มีบุญคะ ลูกคิดว่า ลูกมีบุญมากกว่าแม่เสียอีก เพราะลูกมีแม่เป็นมารดา แต่แม่สิ แม่ไม่มีแม่แห่งพรหมจารีผู้มีบุญที่จะรักเหมือนลูก... พระเยซูบนพระมหากางเขนประทานแม่ ให้เป็นแม่ของพวกลูก ดังนั้น พวกลูกจึงร่ำรวยกว่าแม่ เพราะพวกลูกมีทั้งพระเยซู และยังมีแม่อีกด้วย....่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระนางพรหมจารีผู้มีบุญ ต้องหัวเราะกับความเรียบง่ายของน้องเป็นแน่..."

 

พวกเราทุกคนก็สามารถปฏิบัติสิ่งที่เรียบง่ายเช่นนี้ได้ ในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ การกระทำเช่นนี้มิใช่เป็นการแสดงออกแบบเด็กเล่น หรือแบบคนปัญญาอ่อน หรือเป็นการกระทำที่เกิดจากความเขินอายหรือความไม่บรรลุวุฒิภาวะ ในทางตรงข้ามนี่คือคุณธรรมประการหนึ่ง คุณธรรมนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา ช่วยเราฟันฝ่าแบกกางเขนในชีวิตประจำวันได้ หากเราต้องเป็นพยานถึงองค์พระคริสต์และพระวรสารของพระองค์ แม้จะถูกผู้อื่นเย้ยหยัน หรือหากเราต้องปฏิบัติงานกับผู้คนเพื่อให้พวกเขาเข้ามาใกล้พระเป็นเจ้ายิ่งขึ้น นักบุญเปาโลกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่อายเรื่องพระวรสาร" (โรม 1:16) เราอาจรู้สึกไม่มีความกล้าในตัวเรา แต่นักบุญเทเรซาแนะเรา ไม่ต้องสนใจกับความรู้สึกส่วนตัวของเรามากนัก แต่เราต้องปฏิบัติงานด้วยพลังของพระเป็นเจ้า นักบุญเทเรซาก็รู้สึกเขินอายเป็นเช่นกัน แต่เพราะความรักที่มีต่อองค์พระเยซูและพระมารดาผู้มีบุญของพระองค์ ช่วยให้เธอเอาชนะความรู้สึกที่อ่อนแอนั้น ในหนังสือเลียนแบบพระคริสตเจ้า มีคำกล่าวของเธอว่า "ความรักไม่เคยพบกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความรักเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ ทุกสิ่งกระทำได้" พระนางพรหมจารีอารีอาเอง ก็ได้แสดงความกล้าหาญเช่นนี้ เมื่อพระนางทรงยอมรับการเป็นพระมารดาพรหมจารีของพระคริสตเจ้าโดยอาศัยพระจิต แม้ว่านักบุญยอแซฟจะต้องเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ก็ตาม อีกครั้งหนึ่งที่พระนางกล้าเผชิญกับการสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการถูกผู้คนเยาะเย้ยที่เขากัลวารีโอ คือเมื่อพระนางประทับยืนอยู่ข้างพระมหากางเขที่พระบุตรของพระนางกำลังจะสิ้นพระชนม์ นี่คือความกล้าหาญและความสัตย์ซื่อของผู้เป็นมารดาจนถึงวาระสุดท้าย

แม่พระทอดมองไปยังองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของพระคุณนานัปการ และแม่พระนำพระคุณเหล่านั้นมาแจกให้กับพวกเรา ผู้เป็นลูกของพระนาง พระนาง "รักเรา เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงรักเรา" พระนางปรารถนาให้เรามีส่วนร่วมในพระคุณที่ได้รับ และเข้าหาพระเป็นเจ้าคำพูดที่โด่งดังของนักบุญเทเรซาคือ "ความรักคือการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง และการเสียสละตนเอง" เป็นคำพูดที่หมายถึงการแสดงความรักของพระเยซูเจ้า และพระแม่มารีย์ต่อเรา เป็นความรักที่จะแบ่งปันทุกสิ่งที่มีกับเรา ดังนั้น นักบุญเทเรซาจึงเขียนคำกลอนในบั้นปลายชีวิต ซึ่งแสดงถึงความคิดที่ลึกซึ้งที่สุดที่เธอมีต่อแม่พระดังนี้

"โอ้พระแม่มารีย์ที่รักยิ่ง ทรงเป็นมิ่งขวัญของลูกผู้ต่ำต้อย....พระบิดาผู้ปรีชาวุฒิไกร แม่ลูกไซร้ได้สนองครองพระคุณ.....ความอ่อนแอฝ่ายกายใจของลูก ไม่พันผูกให้ลูกต้องหวั่นไหว......ด้วยพระพรของแม่ลูกมีชัย เหนือสิ่งใดยิ่งกว่าทรัพย์ทั้งมวล......ลูกเป็นลูกของพระแม่สุดที่รัก คุณธรรมที่ประจักษ์พระแม่ให้....พระแม่รักลูกก็รักดั่งดวงใจ รักคุณธรรมของลูกเสมอพระทัยแม่ไหมเอย?"

ไม่มีผู้ใดจะ "ปลื้มปิติยินดีในพระเป็นเจ้า" มากไปกว่าพระนางมารีย์ เมื่อพระนางได้แลเห็นวิธีการที่พระเป็นเจ้าทรงห่อหุ้มเธอไว้ "ในฉลองพระองค์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประดุจเจ้าสาวที่ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา" ดังที่เราได้ฟังจากบทอ่านในมิสซาจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ (61:10) "เพชรนิลจินดา" เหล่านี้ คือ คุณธรรมต่างๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์ของแม่พระ และกิจการที่ดีทั้งหลาย (เทียบ วว 19:8) นักบุญเทเรซาผู้มีความวางใจเยี่ยงเด็ก และมีความเรียบง่ายที่งามสง่า เธอเชื่อว่าคุณธรรมทั้งหลายเหล่านี้ของแม่พระก็จะเป็นคุณธรรมของเธอเช่นกัน เพราะผู้เป็นมารดาย่อมไม่ปฏิเสธที่จะให้สิ่งที่ดีแก่ลูก นักบุญเทเรซา ได้นำผู้อื่นให้เดินไปตามเส้นทางน้อยๆ แห่งความสุภาพและความไว้วางใจเดียวกันนี้ เธอเคยกล่าวแก่นวกเณรีในปกครองว่า:

"เมื่อเราสวดภาวนาขอต่อบรรดานักบุญนั้น พวกเขาจะให้เรารอก่อนสักครู่ เราจะมีความรุ้สึกว่า พวกเขาต้องไปหาพระเป็นเจ้าก่อน แล้วจึงเสนอคำวิงวอนของเรา แต่เมื่อเราสวดภาวนาต่อพระนางพรหมจารี เราจะได้รับความช่วยเหลือโดยตรงทันที

เช่นเดียวกับพระนางพรหมจารีผู้ทรงบุญ นักบุญเทเรซาก็ได้เรียนรู้วิธีเฝ้ามองพระเยซูเจ้า เธอบันทึกว่า "ดิฉันจะแจกจ่ายขุมทรัพย์ต่างๆ แก่เหล่าวิญญาณที่มาร้องขออาหารจากดิฉัน โดยไม่ยอมเสียเวลาหันไปมองเลยว่าพวกเขาจะเป็นใคร" มีผู้คนมากมายได้แรงบันดาลใจจากข้อความนี้ และได้ปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพื่อพระเป็นเจ้า ทั้งที่เป็นภารกิจที่เหลือกำลังเมือแรกมอง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้เรียนรู้ต่อมาว่า "ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเป็นเจ้า" (ลก 1:31) เช่นเดียวกับพระภารกิจที่พระนางมารีย์ได้ทรงกระทำ

ร้อยกว่าปีผ่านไปนับจากวันที่เธอได้จากโลกนี้ไป ซิสเตอร์น้อยๆ แห่งคณะคาร์แมล ก็ยงคงพูดอยู่ในใจของผู้คนนับไม่ถ้วน ด้วยคำพูดธรรมดาๆ ที่มีอยู่ในพระวรสาร และเป็นคำพูดแสดงถึงความหวังที่ท้าทาย ทุกวันนี้ เธอยังคงช่วยเรารื้อฟื้นความวางใจในความรักที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาของพระเป็นเจ้า และช่วยเราขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ประทานพระมารดาแห่งสวรรค์แก่เรา พระองค์คงไม่สามารถจะประทานสิ่งอื่นใด ที่เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความรักของพระองค์ต่อเราได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว

นักบุญเทเรซาสอนเรา ให้รับพระนางมารีย์ในฐานะที่เป็นแม่ของเรา คือ "เป็นแม่ ยิ่งกว่าเป็นพระราชินี" เป็นแม่ที่เราเข้าหาได้ เลียนแบบอย่างได้ อยู่ใกล้ชิดกับเรา เป็นสตรีที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดแห่งความเชื่อเช่นเดียวกับเรา พระเป็นเจ้าประทานนักบุญทั้งหลายแก่เรา เพื่อช่วยและเป็นแรงบันดาลใจให้เราก้าวเดินไปจนตลอดชีวิต นักบุญเทเรซาสอนเราให้รักแม่พระ ผู้ทรงเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ดังที่เธอได้กล่าวไว้ดังนี้ "โอ้ พระนางมารีย์ หากลูกได้เป็นพระราชินีแห่งสวรรค์และพระนางเป็นเทเรซา ลูกก็คงอยากเป็นเทเรซามากกว่า เพื่อจะได้ชื่นชมพระราชินีแห่งสวรรค์!"

บทภาวนาขอนักบุญเทเรซา

โปรดสอนเราให้รู้จักเปิดใจต่อพระจิตโดยปราศจากข้อแม้ใดๆ
เช่นเดียวกับที่ท่านนักบุญได้เปิดใจในการแสวงหา และการพบน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและการเลือกทางเดินใดๆ
ไม่ว่าจะกำลังมีความปิติยินดีและกำลังผิดหวังในชีวิต
ขอท่านนักบุญโปรดวอนขอพระคุณเพื่อเรา
ในการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
ด้วยความกล้าหาญและด้วยจิตใจที่แน่วแน่
เพื่อเราจะได้ฉายแสงสว่างแห่งความชื่นชมยินดี
และแสงแห่งความสุขเช่นเดียวกับท่านนักบุญ
ในการรับใช้พระเป็นเจ้าของเรา

 

back

 

Free Web Hosting