เมื่อประกาศกถูกต่อต้านมก 6:1-6 โดย...ปลัดนุ

 

เจค็อบนั่งพักบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่น้ำแข็งและสายฝนได้สลักเสลาจนเป็นเก้าอี้ เขามองดูฝูงนกบินทะยานขึ้นฟ้าไปในกระแสลมร้อน และรู้สึกถึงหัตถ์อันไม่อาจมองเห็นที่ได้ยกเขาขึ้นมาจากทุกสิ่งที่คุ้นเคย และนำเขามาแขวนห่างไว้จากบ้านเช่นนี้

ตอนเย็น เจค็อบมาถึงบ้านหลักเล็กๆ หลังหนึ่ง ชายผู้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นกำลังเก็บฟืนไปใช้จุดไฟตอนกลางคืน "ท่านปีนเขาลูกนี้ขึ้นมาไกลน่าดู" ชายผู้นั้นพูด

"ใช่" เจค๊อบ พูดพลางป้ายเหงื่อที่คิ้ว "แต่แม้กระทั่งโมเสสก็ยังต้องปีนเขา"

"แล้วโมเสสได้เรียนรู้อะไรจากการปีนเขาของเขานั่นน่ะ" ชายผู้นั้นถามอย่างรู้สึกขันในบทสนทนาและผู้ร่วมสนทนานั้น

"โมเสส" เจค็อบกล่าว "ก็เหมือนพวกเราทุกคนนั้นแหละ คือพบว่า การไต่เขาลงไปและอยู่กับสิ่งที่เราเห็นนั้นก็ต้องใช้ความพยายามมากพอๆ กับการปีนเขาเพื่อติดตามความฝันของเรา"

(การเดินทางของเจค็อบ โนอาร์ เบน ซี เชียน ฐิติมา สุทธิวรรณ แปล จัดพิมพ์โดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟ หน้า 48-49)


หลังจากที่โมเสสพาชนอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์มาถึงภูเขาซีนาย ท่านก็ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อรับพระบัญญัติจากพระเจ้า แต่เนื่องจากท่านขึ้นไปเป็นเวลานาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะลงมา ประชาชนชาวอิสราเอล ซึ่งมีความหวาดกลัวต่อการดำเนินชีวิตในถิ่นทุรกันดาร ก็ขอให้อาโรนปั้นวัวทองคำขึ้น เพื่อพวกเขาจะได้นมัสการให้เป็นเทพเจ้าที่พวกเขาพึ่งพิงได้ อาโรนกระทำตามที่พวกเขาขอร้อง ในขณะที่ชาวอิสราเอล กำลังเต้นรำอยู่รอบๆ วัวทองคำนั้นเอง โมเสสก็ลงมาจากภูเขาพร้อมด้วยแท่งหินพระบัญญัติของพระเจ้า ท่านทุ่มแท่งหินนั้นลงกับพื้นดินด้วยความโกรธเกี้ยว และสั่งให้เผารูปปั้นนั้นและบดเป็นผงโรยลงในน้ำและบังคับให้ชนอิสราเอลดื่มน้ำนั้น (เทียง อพย 32:1-20)

โมเสสพบความยากลำบากมากทีเดียวในการเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอล โมเสสถูกต่อต้านและเกือบจะถูกชนชาติดื้อด้านนี้ฆ่าตายหลายครั้ง เพราะความคิดที่ว่าท่านเป็นตัวการที่นำพวกเขามาพบกับความยากลำบากในถิ่นกันดาร ท่านยังต้องอดทนอย่างมากด้วยเพื่อจะนำชนชาตินี้ให้สื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ หลายครั้งทีเดียวที่โมเสสต้องทูลขอพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ถูกลงโทษ ดูเหมือนว่ากว่าชาวอิสราเอลจะสำนึก และยอมรับในความเป็นผู้นำของโมเสส ท่านก็เลือดตาแทบกระเด็น แม้ใครๆ จะไม่ยอมรับโมเสสก็ไม่เท่าไหร่ แต่ที่ปวดใจคือ อาโรนพี่ชายของท่าน นั่นเอง ที่ลึกๆ แล้วดูเหมือนจะต่อต้านอำนาจการเป็นผู้นำที่พระเจ้าประทานให้แก่โมเสสแต่เพียงผู้เดียว

พระเยซูเจ้าผู้เป็นโมเสสแห่งพันธสัญญาใหม่ พระองค์นำความรอดพ้นมาสู่มนุษย์ทุกคน พระองค์ต้องประสบชะตากรรมไม่ต่างอะไรกับโมเสสในพันธสัญญาเดิม ประชาชนในถิ่นกำเนิดของพระองค์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นญาติพี่น้องใกล้ชิดนั้นไม่ยอมรับพระองค์ พวกเขารู้จักคุ้นเคยกับพระองค์ และคิดว่า ลูกของช่างไม้ก็ต้องเป็นช่างไม้ จะกลายเป็นประกาศกได้อย่างไร? พวกเขาไม่เข้าใจและไม่ยอมรับ

พระเยซูเจ้าจึงตรัสออกมาว่า "ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยาม นอกจากในถิ่นกำเนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติและในบ้านของตน" (มก 6:4) มาระโกเขียนอย่างรุนแรงให้เห็นภาพว่าพระเยซูเจ้าในฐานะมนุษย์ พระองค์ทรงถูกเหยียดหยาม จนดูเหมือนว่าลูกาเมื่อเขียนเรื่องเดียวกันนี้ ต้องทำให้ข้อความนิ่มนวลขึ้นว่า "ไม่มีประกาศกคนใดได้รับการต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน" (ลก 4:24)

มันเป็นพฤติกรรมทางจิตใจที่เมื่อบุคลลคหนึ่งไม่เคยได้รับการยอมรับจากใครอย่างจริงใจ เขาก็ไม่อาจให้การยอมรับใครได้เช่นกัน มาระโกพยายามชี้ให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกต่อต้าน และไม่ได้รับการยอมรับเช่นกัน แต่พระเยซูเจ้าไม่ได้สร้างปมด้อย หรือปมเขื่องให้กับจิตใจตนเอง หากแต่สิ่งที่พระองค์ทรงได้รับจากเพื่อนบ้านนั้น ทำให้พระองค์เข้าใจสภาพของจิตใจมนุษย์ที่ "ถูกต่อต้าน" และ "ไม่ได้รับการยอมรับ" ว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่างหาก

ในครอบครัว แม้เราแต่ละคนอาจจะมีอดีตไม่เหมือนกัน บางทีเราอาจจะเคยเจ็บปวด มีบาดแผลในใจ แต่เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถ่ายทอดบาดแผลนั้นไปสู่ลูก เราเริ่มต้นใหม่ได้ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้ายอมรับเราอย่างที่เราเป็นแล้ว ให้เรายอมรับลูกๆ อย่างที่เขาเป็นเถิด ให้เขาเติบโตได้ด้วยความภูมิใจในพ่อแม่ของเขา ให้เราสะท้อนความรักของพระเจ้าผ่านทางความรักที่เรามีต่อพวกเขาเถิด....

 

back

Free Web Hosting